อเมริกาให้อินโดนีเซียฟื้นฟูแนวปะการัง แลกกับหนี้ 1,200 ล้านบาท
เป็นการรายงานข่าวมาจากสำนักข่าวเอเอฟพีรายงานจากกรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซียในวันนี้ (10 กรกฏาคม 2567) ว่า กระทรวงการคลังสหรัฐออกแถลงการณ์ เกี่ยวกับการยกหนี้มูลค่า 35 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือประมาณ 1,274 ล้านบาท ให้แก่อินโดนีเซีย ภายในกรอบเวลาช่วง 9 ปี ข้างหน้า แลกกับการฟื้นฟูและอนุรักษ์แนวปะการังในผืนมหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งมีความหลากหลายทางชีวภาพมากที่สุด หลังผู้เชี่ยวชาญประเมินว่า เป็นวิกฤติสิ่งแวดล้อมระดับโลก
ข้อตกลงดังกล่าวเป็นการแลกเปลี่ยนหนี้เพื่อธรรมชาติ ครั้งที่ 4 ซึ่งทั้งสองประเทศดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2552 และคาดว่าจะให้ทุนสนับสนุนงานอนุรักษ์เป็นเวลาอย่างน้อย 15 ปี ครอบคลุมพื้นที่หลักสองแห่ง ซึ่งเรียกว่าสามเหลี่ยมปะการัง และบริเวณเกาะซุนดาน้อย ในบริเวณดังกล่าว ซึ่งมีอาณาเขตหลายแสนเฮกตาร์หรือประมาณ 625,000 ไร่ เป็นที่อยู่อาศัยของปะการังมากกว่า 3 ใน 4 สายพันธุ์ทั้งหมด รวมไปถึงสัตว์ทะแลอย่าง ปลา เต่า ฉลาม วาฬ และโลมามากกว่า 3,000 ชนิด ปัจจุบัน อินโดนีเซียมีอาณาเขตแนวปะการังประมาณ 5.1 ล้านเฮกตาร์หรือประมาณ 31 ล้านไร่ ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 18 ของพื้นที่ทั้งหมดบนโลก
ตามข้อมูลของกระทรวงการท่องเที่ยว แต่ปัญหาการฟอกขาวในปี 2567 ส่งผลกระทบร้ายแรงแก่พื้นที่เหล่านี้ ทั้งสองภูมิภาคนี้เป็นศูนย์กลางของความหลากหลายทางชีวภาพ นายอเล็กซานเดอร์ พอร์ตนอย ที่ปรึกษากฎหมาย องค์กรอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมนานาชาติ ผู้มีส่วนร่วมในการจัดทำข้อตกลง กล่าว อินโดนีเซียได้รับประโยชน์จากการสลับหนี้กับสหรัฐ ก่อนหน้านี้ในปี 2552, 2554 และ 2557 ซึ่งสร้างรายได้รวมกันเกือบ 70 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือประมาณ 2,546 ล้านบาท
แต่ปีนี้ถือเป็นครั้งแรก ที่การแลกเปลี่ยนหนี้มุ่งเน้นไปที่แนวปะการังมากกว่าป่าฝน เนื่องจากแนวปะการังนั้น ยากต่อการอนุรักษ์ในระดับชาติ และส่วนใหญ่ถูกคุกคามจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งเป็นสิ่งที่อินโดนีเซียไม่สามารถจัดการได้ด้วยตนเองเพียงประเทศเดียว ข้อตกลงดังกล่าวซึ่งถูกลงนามเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว มีผลเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ด้วยความหวังว่าจะสร้างความแตกต่าง
โดยหนี้ของรัฐบาลจาการ์ตาจำนวน 26 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือประมาณ 945 ล้านบาท จะถูกตัดออกไป ภายใต้กฎหมายป่าเขตร้อนและการอนุรักษ์แนวปะการังของสหรัฐ ส่วนองค์กรอนุรักษ์นานาชาติ จะบริจาคเงิน 3 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือประมาณ 109 ล้านบาท และอีก 1.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือประมาณ 54 ล้านบาท จะมาจากองค์กรอนุรักษ์ธรรมชาติระดับโลกทั้งหลาย