ร้อนจัด! เจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าอเมริกาใช้รถตากแดดอบขนมปังกล้วยสำเร็จ!
ด้วยอุณหภูมิที่พุ่งสูงทะลุ 100 องศาฟาเรนไฮต์ (ประมาณ 37 องศาเซลเซียส) ในรัฐแอริโซนา ประเทศสหรัฐอเมริกา เจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าในอุทยานแห่งชาติ Saguaro National Park เกิดไอเดียบรรเจิด นำรถที่จอดตากแดดเปรียบเสมือนเตาอบขนาดยักษ์ อบขนมปังกล้วยจากแป้งดิบ 2 ก้อน ผลปรากฏว่าเพียง 4 ชั่วโมง ขนมปังกล้วยก็สุกเหลืองน่ารับประทาน!
รายงานจาก New York Post เผยว่า เจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าในอุทยานแห่งชาติ Saguaro National Park เมืองทูซอน รัฐแอริโซนา โพสต์เฟซบุ๊กรายละเอียดการทดลองอบขนมปังในรถ โดยระบุว่า อุณหภูมิในวันนั้นสูงถึง 97 องศาฟาเรนไฮต์ (ประมาณ 36 องศาเซลเซียส) บนแผงหน้าปัดรถวัดได้ 163 องศาฟาเรนไฮต์ (ประมาณ 72 องศาเซลเซียส) อากาศร้อนอบอ้าวภายในรถเปรียบเสมือนเตาอบขนาดยักษ์ จึงเกิดไอเดีย "ท้าทายการอบขนมปังในรถ" ขึ้นมา
จากภาพจะเห็นว่า เจ้าหน้าที่วางแป้งขนมปังกล้วยดิบ 2 ก้อน ไว้ใต้กระจกหน้ารถด้านหน้า เมื่อเวลา 14.00 น. อุณหภูมิภายนอกรถและบนแผงหน้าปัดวัดได้ 105 องศาฟาเรนไฮต์ (ประมาณ 40 องศาเซลเซียส) และ 211 องศาฟาเรนไฮต์ (ประมาณ 99 องศาเซลเซียส) ตามลำดับ ผิวหน้าขนมปังกล้วยเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเหลืองทอง จนกระทั่งเวลาประมาณ 15.00 น. เจ้าหน้าที่จึงนำขนมปังกล้วยออกจากรถ พบว่าด้านนอกสุกเหลืองน่ารับประทาน แม้เนื้อด้านในจะยังนุ่มอยู่บ้าง แต่เจ้าหน้าที่ก็ถือว่าการ "ท้าทายการอบขนมปังในรถ" ครั้งนี้ประสบความสำเร็จ
โพสต์ดังกล่าวดึงดูดความสนใจจากชาวเน็ตเป็นอย่างมาก หลายคนแสดงความทึ่งและคอมเมนต์กันอย่างคึกคัก อาทิ "กลิ่นในรถตอนนั้นคงหอมน่าดู", "เมื่อไหร่จะมีสูตรอาหารสำหรับอบในรถออกมาบ้างนะ", "ฉันอยากลองเอาพิซซ่ามาอุ่นในรถดูบ้าง" ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าในอุทยานแห่งชาติ Saguaro National Park เคยทำการทดลองคล้ายๆ กันนี้มาก่อนหน้านี้แล้ว โดยเคยอบคุกกี้ พริกหวาน และอาหารอื่นๆ ในรถมาแล้ว และพบว่าคุกกี้เหมาะกับการอบใน "เตาอบพลังงานแสงอาทิตย์เคลื่อนที่" นี้มากที่สุด
อย่างไรก็ตาม การทดลองอบขนมปังในรถครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์แฝงเพื่อรณรงค์ให้ตระหนักถึงอันตรายจากการทิ้งเด็กหรือสัตว์เลี้ยงไว้ในรถที่จอดตากแดด จากข้อมูลของคณะกรรมการความปลอดภัยแห่งชาติสหรัฐอเมริกา (National Safety Council) พบว่า ในช่วง 27 ปีที่ผ่านมา มีเด็กเสียชีวิตเฉลี่ย 37 คนต่อปีจากการถูกทิ้งไว้ในรถที่ร้อนจัด สมาคมสัตวแพทย์แห่งอเมริกา (American Veterinary Medical Association) ยังระบุว่า มีสัตว์เลี้ยงเสียชีวิตหลายร้อยตัวต่อปีจากสาเหตุเดียวกัน