นักวิชาการกฎหมาย ชี้ ทนายความของครูปรีชาอาจจะมีความผิดร่วมกับลูกความในความผิดฐานฟ้องเท็จได้
วันนี้ศาลจะตัดสินในคดีที่เกี่ยวเนื่องกับหวย30ล้าน โดยคดีในวันนี้จะเป็นคดีที่ฝ่ายหมวดจรูญ #ฟ้องครูปรีชาและทนายความเป็นจำเลย เกี่ยวกับความผิดฐานฟ้องเท็จหรือเบิกความเท็จ
มีผู้สอบถามว่า #ทนายความจะต้องมีความผิดฐานฟ้องเท็จหรือเบิกความเท็จด้วยหรือไม่
คำตอบ คือ ทนายความอาจจะมีความผิดร่วมกับลูกความในความผิดฐานฟ้องเท็จ
หรือเบิกความเท็จ หรือนำสืบ หรือแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จได้
#ซึ่งโดยปกติแล้วทนายความจะเป็นผู้ที่รับทราบข้อเท็จจริงทั้งหมดจากลูกความ หรือลูกความเล่าข้อเท็จจริงให้ทนายความฟัง แล้วทนายความก็จะนำเอาข้อเท็จจริงดังกล่าวมาวิเคราะห์เพื่อดูว่าสามารถฟ้องคดีได้หรือไม่ ถ้าฟ้องได้ทนายความก็จะฟ้อง ถ้าเห็นว่ายังฟ้องไม่ได้ทนายความก็อาจจะสอบข้อเท็จจริงต่อไป
ถ้ารูปคดีมีลักษณะที่ ""#ลูกความนำข้อเท็จจริงมาบอกกับทนายความทั้งหมด"" + ""ข้อเท็จจริงไม่ไม่ชัดเจนว่าเป็นความเท็จ"" ถ้านำข้อเท็จจริงแบบนี้ไปฟ้องคดีต่อศาล #ทนายความก็จะไม่ต้องรับผิดหากสุดท้ายแล้วได้ความว่าข้อเท็จจริงดังกล่าวเป็นเท็จ เพราะถือว่าข้อเท็จจริงที่ทนายความนำไปใช้ในการฟ้องคดีนั้น ""มาจากลูกความทั้งหมด"" และด้วยลักษณะของข้อเท็จจริงไม่ชัดเจนแจ่มแจ้งว่าเป็นความเท็จ ทนายความจึงไม่ต้องรับผิดเพราะถือว่าทนายความไม่มีโอกาสจะล่วงรู้ข้อเท็จจริงนั้นได้เพราะลูกความเป็นผู้นำมาบอก
ดู คำพิพากษาศาลฎีกา ที่ 19980/2555 วินิจฉัยว่า
"" ..... ทนายความของคู่ความ จะมีความผิดฐานฟ้องเท็จได้นั้น จะต้องอาศัยข้อเท็จจริงว่า #ทนายความทราบว่าข้อเท็จจริงดังกล่าวเป็นความเท็จ ซึ่ง #จะไม่ได้อาศัยเหตุที่ว่าทนายความลงชื่อเป็นผู้เรียงคำคู่ความ เพราะโดยสภาพของการเรียงคำคู่ความไม่อาจจะฟังได้ว่าทราบถึงข้อเท็จจริงที่เป็นความเท็จ ถ้าทนายความทราบข้อเท็จจริงที่ตนเองเรียงนั้นว่าเป็นเท็จทนายความก็อาจจะมีความผิดฐานฟ้องเท็จได้ #แต่คดีนี้ เป็นการกล่าวหาเพียงว่าเมื่อทนายความลงลายมือชื่อเป็นผู้เรียงคำฟ้องจึงมีความผิดฐานฟ้องเท็จนั้น ย่อมไม่อาจจะฟังอย่างนั้นได้ #เมื่อไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าทนายความรู้หรือไม่ว่าข้อเท็จจริงที่ตนเองนำมาเรียงในคำฟ้องหรือไม่ จึงต้องฟังว่าทนายความไม่รู้ .....""
(วิรุฬห์ แสงเทียน-ฉัตรไชย จันทร์พรายศรี-วรงค์พร จิระภาค)
ดู คำพิพากษาศาลฎีกา ที่ 489/2539 วินิจฉัยว่า
"" ..... #จำเลยเป็นทนายความ ได้บรรยายคำฟ้องในคดีหมิ่นประมาทไปตามข้อความที่ระบุในเอกสาร #ซึ่งจำเลยไม่มีโอกาสจะทราบได้เลยว่าข้อความดังกล่าวนั้นเป็นความเท็จ ดังนั้น จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานฟ้องเท็จ .....""
(ชลอ บุณยเนตร-สมาน เวทวินิจ-ธวัชชัย พิทักษ์พล)
แต่ถ้ารูปคดีมีลักษณะที่ ""ลูกความนั้นนำมาบอกบางส่วน"" + ""#ทนายความหาข้อเท็จจริงเองบางส่วน"" ถ้าข้อเท็จจริงที่ทนายความหามานั้นปรากฏชัดเจนว่าไม่มีเหตุที่จะฟ้องคดีต่อศาลได้ หรือ ""ทนายความไปพบกับข้อเท็จจริง #และถ้าสอบข้อเท็จจริงต่อไปก็จะพบว่าไม่มีเหตุที่จะฟ้องคดีต่อศาลได้"" รูปคดีในลักษณะแบบนี้ ศาลจะถือว่าทนายความมีส่วนรับรู้ถึงข้อเท็จจริงที่เป็นเท็จนั้นด้วย #หรืออยู่ในวิสัยที่คาดหมายได้ว่าข้อเท็จจริงที่นำมาฟ้องนั้นเป็นเท็จ แบบนี้ทนายความก็จะมีความผิดไปด้วย
ดู คำพิพากษาศาลฎีกา ที่ 15243/2557 วินิจฉัยว่า
"" ..... จำเลยที่ 3 #เป็นทนายความ ซึ่งปรากฏว่า จำเลยที่ 3 ไปสอบข้อเท็จจริงแล้วพบว่า ตู้คาราโอเกะที่โจทก์ยึดมานั้น #ถูกนำมาวางไว้ที่สถานีตำรวจ ซึ่งจำเลยที่ 3 ในฐานะทนายความ #ควรจะคาดหมายได้ว่า เมื่อทรัพย์สินถูกนำมาไว้ที่สถานีตำรวจ #น่าเชื่อว่าการกระทำของโจทก์ที่ไปยึดตู้คาราโอเกะมานั้น เป็นการกระทำที่อาศัยอำนาจตามกฎหมาย หรือถ้าจำเลยที่ 3 ในฐานะทนายความ #สอบถามข้อเท็จจริงให้ถี่ถ้วน ก็จะทราบได้ว่า การยึดตู้คาราโอเกาะนั้น เป็นการกระทำโดยอาศัยอำนาจตามกฎหมายและกระทำโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ การนำคดีมาฟ้องโดยตั้งรูปคดีว่ามีการปล้นทรัพย์จึงเป็นความเท็จและเชื่อว่าจำเลยที่ 3 ทราบความจริงอยู่แล้วว่าไม่ใช่การปล้นทรัพย์ ดังนั้น จำเลยที่ 3 ในฐานะทนายความ จึงมีความผิดฐานฟ้องเท็จให้จำคุกคนละ 1 ปี .....""
(วิจิตร วิสุชาติ-อนันต์ วงษ์ประภารัตน์-ประพาฬ อนมาน)
ดู คำพิพากษาศาลฎีกา ที่ 8902/2552 วินิจฉัยว่า
"" ..... หนังสือสัญญากู้ยืมเงินที่นำมาฟ้องนั้น #เมื่อดูด้วยสายตาก็จะเห็นได้โดยง่ายว่า ลายมือชื่อที่อยู่ในสัญญาไม่ใช่ลายมือชื่อของโจทก์อย่างแน่นอน #จำเลยในฐานะทนายความซึ่งประกอบอาชีพมา_1_ปี ก็น่าจะต้องมองออกว่าไม่ใช่ลายมือชื่อของโจทก์อย่างแน่นอน #จะต้องเป็นลายมือชื่อที่มีคนทำปลอมขึ้นมา ซึ่งจำเลยในฐานะทนายความควรจะต้องสอบถามลูกควาให้แน่ชัด ถึงความผิดปกติของลายมือชื่อในสัญญาดังกล่าว แต่จำเลยก็ไม่ได้สอบถาม เมื่อสุดท้ายแล้วสัญญากู้ยืมเงินเป็นเอกสารปลอม จึงเชื่อว่าจำเลยในฐานะทนายความเกี่ยวข้องกับการปลอมลายมือชื่อดังกล่าวด้วย จำเลยจึงมีความผิดฐานฟ้องเท็จ .....""
(ศิริชัย วัฒนโยธิน-ม.ล.ฤทธิเทพ เทวกุล-กีรติ กาญจนรินทร์)
จากแนวฎีกาดังกล่าว จะพบว่า #ทนายความมีโอกาสที่จะมีความผิดฐานฟ้องเท็จได้ หากว่าทนายความมีโอกาสที่จะตรวจสอบข้อเท็จจริงได้ว่าข้อเท็จจริงดังกล่าวเป็นความเท็จ หรือปรากฏชัดเจนว่าข้อเท็จจริงเป็นเท็จ ทนายความก็มีความผิด แต่หากทนายความไม่มีโอกาสตรวจสอบข้อเท็จจริงหรือข้อเท็จจริงที่ปรากฏนั้นไม่ชัดเจน ทนายความก็ไม่ผิด
#สิ่งที่ทนายความควรทำ เพื่อป้องกันมิให้ตนเองถูกฟ้องในความผิดฐานฟ้องเท็จ คือ
(1) ทำบันทึกข้อเท็จจริงแล้วให้ลูกความลงชื่อรับรอง
(2) ถ้ามีจุดน่าสงสัย ให้ลูกความอธิบายและลงชื่อรับรอง
(3) ถ้าทนายความไปพบข้อเท็จจริงเอง ต้องดูว่าข้อเท็จจริงนั้นน่าจะเป็นเท็จหรือเป็นจริง ถ้าไม่แน่ใจ ให้ลูกความเป็นผู้ยืนยัน และให้ลงชื่อรับรองไว้
(4) ให้มองคดีของลูกความแบบที่ทนายความเป็นคู่ความอีกฝ่าย แล้วให้ดูว่าถ้าเราเป็นทนายความของอีกฝ่าย เราจะรู้สึกว่าข้อเท็จจริงที่นำมาฟ้องนั้นเป็นเท็จหรือไม่
(5) ถ้าข้อเท็จจริงมีความน่าสงสัยหรือก่ำกึ่ง ให้ทำบันทึกให้ลูกความรับรองและยืนยันอีกครั้งหนึ่งว่าข้อเท็จจริงเป็นไปตามที่ลูกความยืนยัน
กรณีตามข้อ (1) - (5) ใช้เฉพาะกับคดีที่เห็นได้ว่ามีความน่าสงสัยว่าข้อเท็จจริงอาจจะเป็นความเท็จ แต่หากเป็นคดีทั่วไปที่เห็นได้ว่าข้อเท็จจริงเป็นไปตามที่ลูกความแจ้งก็ไม่ต้องทำตามข้อ (1)-(5) ก็ได้ แต่ถ้าทำไว้ทุกคดีก็ไม่เสียหายอะไร มีแต่จะดีกับทนายความ _____""
#คดีโลกคดีธรรม
อ้างอิงจาก: fb กลุ่ม คดีโลก คดีธรรม