กฐินพระราชทาน ณ วัดมุจลินทวาปิวิหาร พระอารามหลวง
กฐินพระราชทาน ณ วัดมุจลินทวาปิวิหาร พระอารามหลวง
ในวันอาทิตย์ ที่ 5 เดือนพฤศจิกายน พุทธศักราช 2566
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงะระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานผ้าพระกฐิน ตามที่ นายศิรวัชโชติ - นางดวงรัศมี รัตนมาลา ขอพระราชทานไปทอดถวายยังที่ชุมนุมสงฆ์ ณ วัดมุจลินทวาปิวิหาร พระอารามหลวง ตำบลตุยง อำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี
ความหมายของ กฐินพระราชทาน คือ พระกฐินที่ถือว่า ผ้าพระกฐิน บริขาร และบริวารกฐิน เป็นของหลวง แต่เปิดโอกาสให้ส่วนราชการ องค์กร หรือบุคคลที่สมควร ขอรับพระราชทานอัญเชิญไปถวายยังพระอารามหลวงต่างๆ นอกจากพระอารามหลวงสำคัญ 16 พระอารามดังกล่าว รัฐบาลโดยกรมการศาสนาจัดหาผ้าพระกฐิน และบริวารพระกฐิน (ปัจจุบันมีจำนวน 265 พระอาราม มีรายชื่อตามบัญชีพระอารามหลวง) ซึ่งส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ สมาคม บริษัทห้างร้าน และบุคคลทั่วไป จะต้องยื่นความจำนงขอพระราชทานผ่านไปยังกรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม และเมื่อถึงกำหนดกฐินกาลก็ติดต่อขอรับ ผ้าพระกฐินและบริวารพระกฐินจาก กองศาสนูปถัมภ์ กรมการศาสนา เพื่อนำไปทอดณ พระอารามที่ขอรับพระราชทานไว้ เมื่อทอดถวายเรียบร้อยแล้วผู้ขอรับพระราชทานจะต้องจัดทำบัญชีรายงานถวายพระราชกุศลในการถวายผ้าพระกฐินพระราชทาน ส่งไปยัง กรมการศาสนา เพื่อจะได้จัดทำบัญชีรายชื่อผู้ขอรับพระราชทานผ้าพระกฐิน ส่งไปยัง สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เพื่อแจ้งให้สำนักราชเลขาธิการนำความกราบบังคมทูล พระกรุณาทราบฝ่าละอองธุลีพระบาท เพื่อถวายพระราชกุศลในการที่หน่วยงาน องค์กร หรือบุคคลทั่วไป อัญเชิญผ้าพระกฐินไปถวาย ณ อารามนั้น
วัดมุจลินทวาปีวิหาร เป็นพระอารามหลวง ชนิดสามัญ สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๓๘๘ เดิมชื่อวัดตุยงต่อมาเมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ เสด็จประพาสเมืองหนองจิกได้พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ เพื่อก่อสร้างพระอุโบสถ แล้วทรงพระราชทานนามใหม่ว่า “วัดมุจลินทวาปีวิหาร” ตั้งอยู่ที่หมู่ที่ ๑ ตําบลตุยง อําเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี อยู่ห่างจากศาลากลางจังหวัดปัตตานีประมาณ ๙ กิโลเมตร การเดินทางไปตามเส้นทางหลวงหมายเลข ๔๒ เลี้ยวขวาเข้าไปประมาณ ๒๐๐ เมตร วัดมุจลินทวาปีวิหารหรือวัดตุยงเป็นวัดเก่าแก่แห่งหนึ่งของจังหวัดปัตตานี สร้างโดยพระยาวิเชียรสงคราม (เกลี้ยง) เจ้าเมืองหนองจิก เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๘๘ ตามประวัติเล่าว่าเมื่อเจ้าพระยาพลเทพฯ แม่ทัพใหญ่แห่งสยามขอพระบรมราชานุญาตตัดแบ่งเมืองปัตตานีออกเป็น ๗ หัวเมือง ประกอบด้วยเมืองปัตตานี เมืองยะหริ่ง เมืองสาย (สายบุรี) เมืองหนองจิก เมืองระแงะ เมืองรามันห์ และเมืองยะลา และในปี พ.ศ. ๒๓๘๘ พระยาวิเชียรภักดีศรีสงคราม (เกลี้ยง) ได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เป็นเจ้าเมืองหนองจิก ได้อพยพครอบครัวคนไทยมาจำนวนหนึ่งมาตั้งหลักแหล่งที่เมืองหนองจิก ซึ่งบริเวณนี้เรียกขานกันว่าบ้านตุยง (ที่ตั้งอำเภอหนองจิกในปัจจุบัน) เมื่อได้สร้างที่ว่าการอำเภอเสร็จเรียบร้อยแล้ว ท่านก็ได้นิมนต์พระอาจารย์พรหม ธมฺมสโรซึ่งเป็นอาจารย์ของท่านสมัยอยู่เมืองยะหริ่งมาจำพรรษาที่ศาลาพักสงฆ์ท่ายะลอ ภายหลังปรากฏว่าสถานที่ดังกล่าวมีความไม่สะดวกสบายหลาย ๆ ประการ เลยต้องย้ายหาที่แห่งใหม่ ท่านและพระอาจารย์พรหม ธมฺมสโร ได้ออกสำรวจพื้นที่เพื่อสร้างวัดแห่งใหม่ ตามประวัติเล่ากันว่าท่านได้เดินทางไปพบเนินทรายขาวแห่งหนึ่ง มีต้นชะเมาใหญ่ปกคลุมเงียบสงัดและเห็นเสือใหญ่นอนหันหน้าไปทางทิศตะวันออก (ตำนานกล่าวว่าต่อมาเสือตัวนั้นได้หายไป) ท่านทั้งสองจึงถือเอานิมิตดังกล่าวเลือกเอาสถานที่นี้เป็นที่สร้างวัด ซึ่งเรียกกันว่า “วัดตุยง” ตามนามของหมู่บ้าน
เริ่มแรกเป็นเพียงที่พักสงฆ์ท่ายะลอ โดยขณะนั้นพระยาวิเชียรภักดีสงคราม (เกลี้ยง) ได้อพยพผู้คนมาตั้งเมืองหนองจิกใหม่ ณ บริเวณตําบลตุยง (ที่ตั้งของอําเภอหนองจิกในปัจจุบัน) เมื่อสร้างที่ว่าการเมืองเสร็จเล่ากันว่าท่านได้เดินทางไปพบเนินทรายขาวแห่งหนึ่ง ซึ่งมีต้นชะเมาใหญ่ปกคลุมและเงีบบสงัดได้เห็นเสือตัวใหญ่นอนหันหน้าไปทางทิศตะวันออกเลยถือเป็นนิมิตที่ดีจึงเลือกเอาสถานที่แห่งนี้เป็นที่สร้างวัด ให้มีชื่อเรียกว่า “วัดตุยง” ตามนามหมู่บ้าน เมื่อ พ.ศ.๒๔๓๓ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๕) เสด็จประพาสเยี่ยมเยียนพสกนิกรหัวเมืองปักษ์ใต้และได้เสด็จมาถึงเมืองหนองจิก เมื่อวันที่ ๓๐ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๓๓ ได้ทรงทราบว่าวัดตุยงเป็นหนึ่งในวัดที่ใช้ประกอบพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาของราชการในสมัยนั้น และทรงทราบว่าพระอุโบสถและเสนาสนะในอารามนี้ยังทรุดโทรมอยู่หลายหลัง พระองค์จึงมีพระราชศรัทธาบริจาคพระราชทรัพย์เป็นเงินจํานวน ๘๐ ชั่ง โดยมอบให้กับพระยามุจลินทร์วราภิธานนัคโรปการ สุนทรกิจมหิศราชภักดิ์ (ทัด ณ สงขลา) เจ้าเมืองหนองจิก ไปดำเนินการก่อสร้างพระอุโบสถและได้พระราชทานนามชื่อวัดใหม่ว่า “วัดมุจลินทวาปีวิหาร" เพื่อให้สอดคล้องกับนามเมืองหนองจิก (มุจลินท์หมายถึงไม้จิก และวาปีหมายถึงหนองน้ำ) และได้พระราชทานพระบรมฉายาลักษณ์แก่วัดมุจลินทวาปีวิหารไว้ด้วย พระยามุจลินทร์วราภิชานนัคโรปการ สุนทรกิจมหิศราชภักดี (ทัด ณ สงขลา) ได้มอบหมายให้หลวงจีนคณานุรักษ์ (จูล่าย) หัวหน้าชาวจีนเมืองตานี เป็นผู้ดําเนินการก่อสร้างพระอุโบสถและให้นายอินแก้ว รัตนศรีสุข เป็นนายช่างโดยเริ่มก่อสร้างเมื่อวันพฤหัสบดีขึ้น ๑๐ ค่ำ เดือน ๖ ปีขาล
การก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์เมื่อวันศุกร์ แรม ๒ เดือน ๑๒ ปีเดียวกัน ในการสร้างพระอุโบสถในครั้งนี้มีผู้ร่วมพระราชกุศลสมทบกับพระราชทรัพย์ที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานไว้รวมเงินค่าก่อสร้างรวมทั้งสิ้น ๒,๔๐๕ เหรียญกับ ๔ อัฐ ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๘๘ สมเด็จกรมพระยาดํารงราชานุภาพ เสด็จตรวจราชการมณฑลปักษ์ได้ ทรงทราบว่าพระอุโบสถวัดมุจลินทวาปีวิหารยังไม่มีพระประธาน ดังนั้นเมื่อเสด็จกลับกรุงเทพมหานคร ได้อัญเชิพระพุทธรูปสัมฤทธิ์ ปางมารวิชัย สมัยเชียงแสน หน้าตักกว้าง ๑ เมตร ๔ นิ้ว ซึ่งเป็นองค์หนึ่งในจานวนพระพุทธรูปโบราณ ๑,๒๔๘ องค์ ที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ที่ได้อัญเชิญมาจากสุโขทัยและหัวเมืองฝ่ายเหนือ ลงมาเก็บรักษาไว้ที่ระเบียงวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม มอบให้พระยาเพชราภิบาลนฤเบศรวาปีเขตมุจลินนฤบดินทร์สวามิภักดิ์ เจ้าเมืองหนองจิก นำมาประดิษฐานเป็นพระประธานประจําพระอุโบสถ ต่อมาวัดมุจลินทวาปีวิหารได้รับการสถาปนาเป็นพระอารามหลวง ชั้นตรี ชนิดสามัญ เมื่อวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๒๐