ชาวนาไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก พลิกวิกฤตโลกร้อนสร้างโอกาสด้วยคาร์บอนเครดิต
จากปัญหาภาวะเรือนกระจกที่เกิดขึ้น จนกลายเป็นเทรนด์และกฎหมายที่มีผลบังคับใช้ในหลายประเทศ หรือในบางประเทศก็มีมาตรการลดภาษีรวมถึงมีนโยบายต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย ส่งผลให้หลายภาคธุรกิจต้องปรับตัวอีกทั้งต้องวางยุทธศาสตร์และปรับแผนขั้นตอนการผลิตให้สอดคล้องกับนโยบายดังกล่าวเพิ่มขึ้น
แน่นอนว่าต้นสายและแหล่งที่มาของการผลิตและวัตถุดิบต่างๆในทุกภาคอุตสาหกรรมเกิน 50% ของทั้งโลกคือ วัตถุดิบที่มาจากอุตสาหกรรมการเกษตร เช่น ข้าว ยางพารา และอ้อย สิ่งนี้เป็นปัจจัยหลักในการผลิตสินค้าและบริการป้อนเข้าสู่อุตสาหกรรมขนาดใหญ่ และที่สำคัญคือมีผลวิจัยจากหลายสำนักทั่วโลกแล้วว่า ก๊าซมีเทน เป็นปัจจัยหลักในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่มากไม่แพ้ คาร์บอนไดออกไซด์เลยทีเดียว
ผลของการปล่อยก๊าซเรือกระจก ในภาคอุตสาหกรรมและการเกษตร อาจส่งผลกระทบต่อจำนวนผลผลิตเนื่องจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงอันเนื่องมาตากภาวะโลกร้อน และจะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางอาหารในอนาคตอีกด้วย
ทางพรรคชาติไทยพัฒนา นับว่าเป็นพรรคเดียวกัน เวลานี้ ที่นำเสนอกฎหมายด้านสิ่งแวดล้อมควบคู่ไปกับความยั่งยืนที่จับต้องได้โดยให้ อาชีพเกษตรกรนำร่องเพื่อเป็นการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซต์ตั้งแต่ต้นน้ำ เพื่อเพิ่มมูลค่าในการเพาะปลูกนอกเหนือจากผลผลิตที่เป็นรายได้หลัก ในการส่งเสริมเรื่องคาร์บอนเครดิตรที่สำเร็จมาแล้วจากการที่ นายวราวุธ ศิลปอาชา ในขณะที่ดำรงตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมบินไปลงความร่วมมือเปิดตลาดคาร์บอนเครดิตที่สวิสต์เซอแลนด์ และในปัจจุบัน จากการที่ชาวนาที่อำเภอเดิมบางนางบวชขายคาร์บอนเครดิต ที่ได้รายได้เพิ่มมาอีกเท่าตัว นอกเหนือจากการขายสินค้าการเกษตร อีกด้วย
.
เรื่องของการขายคาร์บอนเครดิตนั้นไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป
ล่าสุด นายเสมอกันเที่ยงธรรม อดีต ส.ส.สุพรรณบุรีและว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. พรรคชาติไทยพัฒนา ได้โพสต์เฟสบุ๊ค ถึงเรื่องขั้นตอนและวิธีการสมัครคาร์บอนเครดิตไว้ว่า
นับว่าเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับชาวนาไทยที่ต้องการทำการเกษตรที่ยั่งยืน และจับต้องได้และถือเป็นก้าวแรกในการที่เกษตรกรไทยหันมาปรับและเปลี่ยนวิถีการทำนาให้ก้าวทันโลกยุคใหม่ เรียกได้ว่า นำเงินในอากาศใส่กระเป๋าชาวนา เพิ่มมูลค่า เพิ่มรายได้ และผลพลอยได้คือเพิ่มบรรยากาศบริสุทธิ์ สู่ปอดของเราและปอดของลูกหลานเราในอนาคต