18 ปี หลังรัฐประหาร 2549 ความสุขแบบข่มขื่นของชาวสวนและชาวนา
นับว่าเป็นทุกขเวทนาของชาวนา ทำนาเหมือนตกนรกทั้งเป็น ทำนาแล้วไม่รวย เป็นวงจรของชีวิตเหมือนตกนรก แสนล้านภพแสนล้านชาติ วันนี้เราจะสรุปประเด็น 3 ข้อใหญ่ๆสำหรับวิกฤตชาวนาที่ชาวนาไทยกำลังเผชิญอยู่
1.ผลผลิตต่อไร่ต่ำ ประเทศไทยมีที่นาทั้งหมดประมาณ 71 ล้านไร่ เป็นที่นาลุ่มประมาณ 44 ล้านไร่ เป็นที่นาดอน ประมาณ 27 ล้านไร่ ผลิตข้าวได้ทั้งนาปีและนาปรังประมาณ 38 ล้านเกวียน ผลิตข้าวได้เฉลี่ยทั้ง 71 ล้านไร่ เฉลี่ยไร่ละ 450 กิโลกรัม ในขณะที่เวียดนามผลิตข้าวได้เฉลี่ยไร่ละ 900 กิโลกรัม อินโดนีเซียผลิตข้าวได้เฉลี่ยไร่ละ 700 กิโลกรัมเศษ ส่วนฟิลิปปินส์ผลิตได้เฉลี่ยไร่ละ 600 กิโลกรัมเศษ ของไทยผลิตได้เฉลี่ยใกล้เคียงกับพม่าและกัมพูชา
2.ต้นทุนการผลิตสูง ปัจจุบันชาวนาไทยมีค่าใช้จ่ายในการทำนาสูงมาก ได้แก่ ค่าเช่านา (บางส่วนยังต้องเช่านาทำ) ค่าไถที่นาและเตรียมดินสำหรับปลูกข้าว ค่าจ้างดำนาหรือหว่านข้าว ค่าปุ๋ยและค่าจ้างใส่ปุ๋ย ค่ากำจัดวัชพืชและแมลงศัตรูข้าว ค่าสูบน้ำเข้านา ค่าเก็บเกี่ยวข้าวและค่านวดข้าว รวมทั้งค่าขนส่งข้าวไปขาย ในกรณีที่ต้องจ้างทั้งหมดจะยิ่งทำให้ต้นทุนสูงมาก
3.ขายข้าวได้ราคาต่ำกว่าต้นทุน ในขณะที่ต้นทุนการผลิตของชาวนาสูงมากแต่ราคาขายที่ขายตามราคาตลาดโลกหักด้วยกำไรของพ่อค้าคนกลางและค่าใช้จ่ายในการซื้อขายของพ่อค้าคนกลางทั้งหมด ราคาที่ถึงมือชาวนาจึงต่ำกว่าต้นทุนของชาวนา ผลก็คือชาวนาต้องขายข้าวขาดทุนทุกฤดู ถ้าเป็นคนมีความรู้ทั่วไปคงทนขาดทุนได้ไม่เกิน 2-3 ครั้งก็คงถอดใจเลิกทำนา แต่สำหรับชาวนาไทยถึงแม้จะขาดทุนทุกฤดูก็ยังคงทำนาอยู่เพราะไม่รู้จะไปทำอะไร? ในอนาคตถ้าชาวนามีความรู้และมีทางเลือกอื่นคงไม่มีใครเลือกขาดทุนซ้ำซากอยู่ทุกปีแบบนี้ ชาวนาที่ยากจนเป็นกลุ่มคนที่อ่อนแอของสังคม ไม่มีประเทศไหนแก้ไขความยากจนของชาวนาได้โดยให้ชาวนาช่วยตัวเองแบบต่างคนต่างอยู่แบบที่รัฐบาลไทยทำมาโดยตลอด ความจริงเรื่องนี้รัฐบาลก็รู้ถึงกับจัดตั้งกรมส่งเสริมสหกรณ์มาดูแล เพื่อให้ชาวนารวมตัวกันเป็นสหกรณ์จะได้มีความเข้มแข็ง ซึ่งสหกรณ์การเกษตรของญี่ปุ่นมีความเข้มแข็งมากและทำให้เกษตรกรญี่ปุ่นเลิกยากจน แล้วทำไมสหกรณ์การเกษตรของไทยส่วนใหญ่จึงไม่ประสบความสำเร็จ
ที่กล่าวมาในประเด็นดังกล่าวเป็นประเด็นที่ชาวนาไทยพบเจอมาเกือบ หลายสิบปี จึงไม่แปลกที่ทางภาครัฐไม่เคยคิดจะแก้ไขแบบเป็นระบบ ประกอบกับ ความไม่มั่นคงของการเมืองไทยที่ส่งผลกระทบต่อนโยบายที่ไม่ต่อเนื่อง และเป็นหมันในแต่ละยุค
สอดคล้องกับนาย เสมอกัน เที่ยงธรรม ส.ส. พรรคชาติไทยพัฒนาได้กล่าวถึงในประเด็นดังกล่าวถึงเรื่องการเปรียบเทียบ ผลผลิตทางการเกษตรตลอดระยะเวลา 15 ปีที่ดำรงตำแหน่ง ส.ส. สุพรรณในสมัยแรกในปี 2548 ว่า ทั้ง มันสำปะหลัง ข้าวโพด อ้อย ราคาปรับขึ้นต่อกิโลกรัมเกือบ 1 เท่าตัว แต่ราคาข้าว กลับสวนทางกับผลผลิตดังกล่าว ทำให้อย่างที่เกริ่นแต่แรกว่า ชาวนาเหมือนตกนรกทั้งเป็น ทำเป็นลูปและเลิกทำไม่ได้เพราะมีหนี้เป็นชะงักติดหลัง
หลายอยู่หลายสมัยที่ต้องอยู่กับเงินในอากาศของนโยบายภาครัฐที่โม้เกินราคาเช่น ประกันรายได้กับจำนำข้าว ที่ส่วนใหญ่เป็นนโยบายที่มีช่องโหว่ อีกทั้งกลไกหลายอย่างทำให้ชาวนาเข้าเนื้อ จนถึงเข้ากระดูกดำ
และแน่นอนว่า พรรคชาติไทยพัฒนาแม้อาจเป็นเสียงข้างน้อยในสภา แต่ด้วยสมาชิกของพรรคที่ดำรงตำแหน่งของกระทรวงเกษตรมาเกือบ หลาย 10 ปี ทำให้ได้รู้ถึงปัญหา และพยายามผลักดัน ประเด็นข้าวจนตกผลึกออกเป็นนโยบายแจกพันธุ์ข้าว 60 ล้านไร่ สอดคล้องกับนโยบายกรมการข้าว ที่ตั้งเป้าให้แต่ละปี ปลูกข้าวให้ได้ 66 ล้านไร่ นับว่า เป็นผลงานที่เป็นรูปธรรมชัดเจนและต่อเนื่อง
แม้จะเป็นนโยบายที่ไม่ได้หวือหวา หรือใหญ่โต แต่ถ้าเทียบในระยะยาวส่งผลดีต่อชาวนาทั่วประเทศในระยะยาว อย่างจับต้องได้






