"บอลโลก" อลวน .. ตามสไตล์ "บอลไทย" ที่ซัดกันนัวบนผลประโยชน์
ถอดบทเรียนซื้อลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสด "บอลโลก 2022" สไตล์ "Thailand Only" จากกฎ "Must Have" จนทำให้ฟุตบอลโลกปีนี้ เอกชนในประเทศไทยไม่มีใครกล้าซื้อมาลงทุน เพราะซื้อของแพง แต่ขายได้ราคาถูก แถมเฉือนเนื้อตัวเองหนุนกฏที่เอกชนไม่ได้เป็นคนกำหนด
มหกรรมกีฬาใหญ่ระดับโลกอย่าง “ฟุตบอลโลก” ที่ 4 ปีจะมีสักครั้ง แต่กลับสร้างประเด็นร้อนให้กับแวดวงธุรกิจ การเมือง สังคมไทย “ป่วน” เล็กๆ ก่อนจะหาเงินมาหนุนตามกฎระเบียบ Must Have และ Must Carry โดยคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ซึ่งเป็นผู้กำหนดกฏเกณฑ์ดังกล่าว ที่มีเจตนารมณ์ให้คนไทยได้ดูคอนเทนต์ชั้นเยี่ยมจากการถ่ายทอดสดกีฬาระดับใหญ่ๆ ของโลก
อย่างไรก็ตาม กฏดังกล่าวทำให้กลายเป็นอุปสรรคที่ไม่มีเอกชนรายใดกล้าซื้อลิขสิทธิ์ดังกล่าว เพราะแค่ทำให้ได้จุดคุ้มทุน ยังว่า "ยาก" ส่วนขั้นจะทำให้ได้ "กำไร" ยิ่งยากกว่า จนทำให้ฟุตบอลโลก 2022 ไม่มีเอกชนรายใดแสดงความสนใจเข้าไปซื้อลิขสิทธิ์ดังกล่าว
จนท้ายที่สุด รัฐบาลนำโดยการกีฬาแห่งประเทศไทย หรือ กกท. ต้องออกมาหางบประมาณเพื่อนำบอลโลก 2022 มาให้คนไทยได้ชมกันตามกฏที่รัดคออยู่ของ กสทช. อย่าง Must Have กับจำนวนเงินกว่า 1,600 ล้านบาท และ กสทช. ก็ให้งบมาเพียงแค่ 600 ล้านบาทเพื่อสนับสนุนกองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคม เพื่อประโยชน์สาธารณะ หรือ กทปส.
ทำให้การกีฬาแห่งประเทศไทย หรือ กกท. ต้องเร่งหาเอกชนใจดีมาช่วยกันลงขันหาเงินให้ครบเพื่อประมูลซื้อลิขสิทธิ์ฟุตบอลโลก 2022 ในราคาแพงมาก จากคนขายสิทธิ์ของฟีฟ่าที่รู้ว่าประเทศไทยมีกฏ Must Have และ Must Carry เพื่อการเข้าถึงอย่างเท่าเทียม จนเป็นห่วงรัดคอรัฐบาลที่ต้องหาเงินส่วนนี้มาให้ครบเพื่อซื้อลิขสิทธิ์ครั้งนี้ให้ได้
ทำให้นายกสมาคมโทรทัศน์ระบบดิจิตอล (ประเทศไทย) ในฐานะตัวแทนอนุกรรมการสมาคมฯ ได้แสดงความคิดเห็นว่า "ไม่เห็นด้วย" กับการนำเงินกองทุนฯ มาใช้เพื่อจ่ายค่าลิขสิทธิ์ฟุตบอลโลก 2022 รอบสุดท้าย เนื่องจากเกรงว่าจะทำให้กองทุนขาดสภาพคล่องทางการเงิน เนื่องจากกองทุนฯ เหลือเงินโดยประมาณ 2,800 ล้านบาท ตามที่นักวิชาการออกมาให้ข้อมูล
หลังจากที่กกท. หาเอกชนใจดีมาช่วยสนับสนุนเงินเพื่อซื้อลิขสิทธิ์บอลโลก 2022 ได้ครบตามที่กำหนดไว้อีก 700 ล้านบาท
1. บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) 300 ล้านบาท
2. น้ำแร่ธรรมชาติ ตราช้าง 100 ล้านบาท
3. บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) 100 ล้านบาท
4. บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือโออาร์ 20 ล้านบาท
5. บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) 20 ล้านบาท
6. บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) 10 ล้านบาท
7. บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) 50 ล้านบาท
8. ธนาคาร กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) 50 ล้านบาท
9. บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) 50 ล้านบาท
จนทำให้ล่าสุด คนไทยได้ดูบอลโลก 2022 ได้ในที่สุด
แต่ดราม่า ก็ยังไม่จบแต่เพียงเท่านี้ เมื่อสมาคมโทรทัศน์ระบบดิจิตอล (ประเทศไทย) ที่มีผลประโยชน์ทับซ้อน บริหารจัดการกับช่องทีวีดิจิตอล ได้ยื่นหนังสือถึงคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ให้วินิจฉัยกรณีมอบลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดฟุตบอลโลก 2022 เท่าเทียมหรือไม่
โดยกรรมการสมาคมทีวีดิจิตอล ย้ำตลอดเวลาที่ให้สัมภาษณ์สื่อว่า "ตนไม่ได้มีผลประโยชน์ขัดแย้งกับทรู" แต่การแบ่งแมทช์ที่เหลือจากทรูที่ได้สิทธิ์เลือกก่อนนั้น สะท้อนถึงความไม่ทั่วถึง เท่าเทียม และไม่เป็นธรรมต่อเอกชนรายอื่นๆ ในสมาคมฯ เห็นได้ว่าเป็นการเอื้อประโยชน์กับเอกชนรายใดรายหนึ่งอย่างชัดเจน
ท้ายที่สุดแล้ว เรื่องนี้ กสทช. ที่เป็นผู้ออกกฏเกณฑ์ Must Have และ Must Carry จะจัดการอย่างไร คงต้องติดตามกันต่อไป แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้เห็นได้ชัดเจนใน "สังคมไทย" ว่า เป็นสังคมอุดมดราม่าที่แท้ทรู เพราะ
• คนไทย อาจจะอดดูบอลโลก - ก็มีคนออกมาดราม่า
• คนไทย ได้ดูบอลโลก - ก็มีดราม่า
• เอกชน ไม่ซื้อลิขสิทธิ์บอลโลก - ก็มีดราม่า
• เอกชน จ่ายบางส่วนเพื่อ Exclusive - ก็มีดราม่า
ดังนั้น การอยู่ในสังคมไทยที่อุดมไปด้วยดราม่าเช่นนี้ ถือได้ว่าเป็นบทเรียนครั้งใหญ่ของหน่วยงานกำกับดูแลอย่าง กสทช. ที่อาจจะต้องกลับมาทบทวนแก้ไขกฏเกณฑ์ที่ตนเองกำหนด (ถึงแม้ว่า กสทช. ชุดปัจจุบันจะไม่ได้เป็นคนออกกฏดังกล่าว) แต่ก็คงพูดได้ว่า “กฎ Must Have” กับปัญหาการถ่ายทอดสดกีฬาระดับโลกที่คนไทยจะต้องได้ดู ก็คงจะต้องวนเวียนกลับมาอีกแน่นอน ถ้ากสทช. ยังไม่แก้เงื่อนไขให้ทันสมัย

















