กยศ.แจงแล้ว ทำไมถึงยึดบ้านลุงเบิร์ด

กยศ.แจงแล้ว ทำไมถึงยึดบ้านลุงเบิร์ด

28 ก.พ. 2562 เวลา 13:08 น.

เมื่อวันที่ 26 ก.พ. อดีตข้าราชการรายหนึ่งได้โพสต์ภาพพร้อมข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ธงชัย พุ่มพวง เรื่องราวของตนเองที่ได้เซ็นค้ำประกันเงินกู้ กยศ. หวังให้ลูกเพื่อนเรียนจบ แต่สุดท้ายลูกเพื่อนคนดังกล่าวกล่าวกลับเบี้ยวไม่ยอมชดใช้เงินที่ยืมมา จนตนเองต้องกลายเป็นหนี้นับแสนบาท โดยข้อความในเฟซบุ๊กระบุว่า...

"หลังเกษียณอายุราชการแล้ว นึกว่าจะสบาย กรรมเก่าแต่ชาติปางก่อนตามมาทันแล้ว..ค้ำประกัน กยศ.หวังให้ลูกเพื่อนเรียนจบ..แต่ตรงกันข้าม จบแล้วไม่ยอมส่งซะงั้น เงินต้น 8 หมื่นบาท เพิ่มเป็น 1.2 แสนบาท.แถมคนที่กู้เป็นหลาน นสพ.ตระกูลดังในภาคเหนืออีก..ตอนนี้ สนง.บังคับคดียึดบ้านที่ผมอยู่อาศัยแล้ว ครอบครัวระหองระแหง..เอ้อหนอ เวรกรรมที่เห็นในชาตินี้"

นอกจากนี้ยังได้เขียนป้ายติดไว้บนรถเก่าๆ ของตนเอง มีข้อความว่า

"ญาติตระกูลใหญ่ กู้เงินกยศ.แล้วไม่ยอมชำระหนี้ ผมเป็นผู้ค้ำประกัน โดนยึดบ้าน"

"ผมเดือดร้อนเพราะค้ำประกัน ญาติ น.ส.พ. ดัง"

"ค้ำประกันแล้วโดนโกง ใครก็มองว่าโง่"

ล่าสุด ผู้สื่อข่าวติดต่อสอบถามเรื่องดังกล่าวไปยัง นายธงชัย หรือ ลุงเบิร์ด เจ้าของโพสต์ดังกล่าวเล่าว่า เมื่อปี 2547 ที่ผ่านมา ตนเองได้ค้ำประกันเงินกู้จากกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) จำนวน 8 หมื่นกว่าบาทให้ลูกของเพื่อน ซึ่งเป็นคนดังในวงการสื่อมวลชนของจังหวัดเชียงใหม่ แต่หลังจากเรียนจบปรากฏว่าผู้กู้ได้หายตัวไปไม่ยอมชดใช้เงินหลังจากเรียนจบ จนเวลาผ่านไป 9 ปี ยอดเงินได้เพิ่มเป็น 120,000 บาท

สุดท้ายตนถูกศาลสั่งยึดทรัพย์ จึงได้เจรจากับ กยศ.เพื่อชดใช้เงินเดือนละกว่า 6,000 บาท เป็นเวลา 20 เดือน ตอนนี้ผ่อนชำระไปแล้ว 4-5 เดือน ทั้งนี้ ที่ผ่านมาตนพยายามติดต่อไปยังญาติของผู้กู้แต่ก็ไม่พบตัวโดยอ้างว่าตัดญาติกันไปแล้ว โดยหลังจากนี้ก็ได้แต่หวังว่าผู้กู้จะรับผิดชอบ เพราะตนได้รับความเดือดร้อนต้องมาชดใช้เงินแทน และกำลังจะถูกยึดบ้านจากหนี้ที่ตัวเองไม่ได้ก่อ

ตอนนี้ก็หวังให้ทาง กยศ. ช่วยหาทางออกให้ติดตามผู้กู้มารับผิดชอบเงินจำนวนดังกล่าวซึ่งเป็นบทเรียนในชีวิตอย่างมาก เชื่อว่าหลายคนอาจเจอเช่นเดียวกับตนเองด้วย

ล่าสุด (27 ก.พ. 62) นายชัยณรงค์ กัจฉปานันท์ ผู้จัดการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา เผยว่า หลังจากกองทุนได้ตรวจสอบเรื่องดังกล่าว พบว่า ผู้ค้ำประกันได้ค้ำประกันผู้กู้ยืมตั้งแต่ปี 2540 ยอดหนี้เงินกู้ 78,610 บาท ครบกำหนดชำระหนี้ในปี 2543 แต่ผู้กู้ยืมไม่เคยชำระหนี้จนถูกเบี้ยปรับและมีหนี้ค้างชำระ ต่อมา ผู้กู้ยืมและผู้ค้ำประกันถูกฟ้องร้องดำเนินคดีในปี 2551 โดยผู้กู้ยืมและผู้ค้ำประกันได้มาศาลและตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความเพื่อผ่อนชำระเดือนละ 900 บาท ภายในระยะเวลา 9 ปี และศาลได้พิพากษาให้ผู้กู้ยืมและผู้ค้ำประกันร่วมกันผ่อนชำระหนี้ แต่ผู้กู้ยืมก็ยังไม่ชำระหนี้ตามสัญญา

กระทั่งในปี 2560 กองทุนได้ดำเนินการสืบทรัพย์บังคับคดีทั้งผู้กู้ยืมและผู้ค้ำประกัน ปรากฏว่าไม่พบทรัพย์ของผู้กู้ยืม แต่พบทรัพย์ของผู้ค้ำประกันซึ่งเป็นบ้านพร้อมที่ดิน กองทุนจึงจำเป็นต้องยึดทรัพย์ของผู้ค้ำประกัน ซึ่งหลังจากการยึดทรัพย์แล้วผู้ค้ำประกันได้ตกลงทำบันทึกข้อตกลงไกล่เกลี่ยข้อพิพาทชั้นบังคับคดี เพื่อชะลอการขายทอดตลาดและงดการบังคับคดีไว้ชั่วคราว โดยผู้ค้ำประกันขอผ่อนจ่ายเดือนละ 6,335 บาท จำนวน 20 งวด จากยอดหนี้ค้างชำระทั้งสิ้น 126,670.86 บาท ซึ่งในขณะนี้ ผู้ค้ำประกันเผยว่า ผู้กู้ยืมได้ติดต่อมาเพื่อร่วมรับผิดชอบหนี้สินแล้ว โดยจะร่วมกันผ่อนชำระหนี้ให้กับกองทุน หลังจากนั้นผู้กู้จะไปชำระหนี้ในส่วนที่ผู้ค้ำประกันได้ชำระแทนไปก่อน

ก่อนที่จะมีการบังคับคดี กองทุนพยายามที่จะติดต่อกับผู้กู้ยืมทั้งทางจดหมายและทางโทรศัพท์ และได้ดำเนินการตามขั้นตอนติดตามหนี้จากผู้กู้ยืมมาโดยตลอด แต่หมายเลขโทรศัพท์ของผู้กู้ยืมไม่สามารถติดต่อได้ การสืบทรัพย์ผู้กู้ยืมก็ไม่พบและไม่มีชื่อผู้กู้อยู่ในระบบหักเงินเดือน ทำให้กองทุนไม่สามารถหักเงินเดือนได้ และเมื่อมีการตั้งเรื่องบังคับคดีดังกล่าวแล้ว กองทุนได้ส่งจดหมายร่วมกับสำนักงานบังคับคดีจังหวัดเชียงใหม่ จัดโครงการไกล่เกลี่ยในชั้นบังคับคดีซึ่งได้ส่งจดหมายเชิญผู้กู้ยืมและผู้ค้ำประกันเพื่อให้มาไกล่เกลี่ยแต่ผู้กู้ยืมและผู้ค้ำประกันไม่ได้มาเข้าร่วมโครงการ กองทุนจึงมีความจำเป็นต้องดำเนินการตามกฎหมายโดยยึดทรัพย์ของผู้ค้ำประกันก่อนที่คดีจะขาดอายุความ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายเนื่องจากเงินกู้ยืมเป็นเงินงบประมาณแผ่นดินที่มาจากภาษีของประชาชน

ขอขอบคุณ ภาพ :ธงชัย พุ่มพวง