10 ค่านิยมความสวยแบบแปลกๆ ที่เคยเกิดขึ้นในอดีต
โพสท์โดย warrior B
cr. พี่นัท@dek-d
1. ผู้หญิงในยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการนิยมโกนผมบริเวณหน้าผากทิ้ง

หากคุณเคยเห็นภาพวาดของผู้หญิงในยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการกันมาก่อน เคยสังเกตกันไหมว่าบริเวณหน้าผากของพวกเธอมันทั้งกว้าง และยกสูงขึ้นไปมากๆ ที่เป็นแบบนี้ไม่ใช่เพราะกรรมพันธุ์หรืออะไรนะ แต่เป็นเพราะพวกเธอเหล่านั้น ได้โกนมันออกไปต่างหาก เพราะในสมัยนั้นคำจำกัดความของคำว่าสวยนั้นอยู่ที่ 'หน้าผาก' คือถ้าหน้าผากของผู้หญิงคนไหนกว้าง นั่นก็แปลว่าผู้หญิงคนนั้นสวย ความกว้างคือคำจำกัดความของคำว่าสวย ถ้าอยากสวยมากก็ต้องโกนผมออกไปให้มาก
2. การเพ้นท์ขาเป็นที่นิยมมากในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง

เนื่องจากปัญหาไนล่อนขาดแคลนในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง เลยทำให้เกิดการเพ้นท์ขาขึ้นมา เพราะการสวมใส่ถุงน่องนั้นเป็นสิ่งจำเป็นมากสำหรับคนเป็นผู้หญิงในสมัยนั้น แต่พอเกิดปัญหาดังกล่าวขึ้น ธุรกิจการเพ้นท์ขาก็บูมขึ้นมาทันที เพราะเราสามารถที่จะออกแบบได้ว่าเราอยากได้ลายอะไร แบบไหน หรือผู้หญิงบางคนก็เพ้นท์เป็นสีดำ สีน้ำตาลให้เหมือนถุงน่องจริงๆ ทั้งขาไปเลย หรือบางคนความคิดบรรเจิดจัด มีการใช้น้ำเกรวี่ในการทาให้ได้สัมผัสของขาที่เหมือนถุงน่องจริงๆ ก็มี ถือเป็นอะไรที่ฟังดูสนุกสนาน ภายใต้สถานการณ์ของการขาดแคลนไนล่อนในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง
3. ในประเทศจีน ยิ่งคุณมีเท้าที่เล็กเท่าไหร่ คุณจะยิ่งสวยมากเท่านั้น!

แม้ว่าจะต้องทนทุกข์ทรมานกับการบีบตัวของเท้า แต่เพื่อความสวย ผู้หญิงจีนเขายอมหมดแหละ ส่วนต้นกำเนิดของการสวมใส่รองเท้าคู่เล็ก (มาก) นี้ยังไม่พบหลักฐานที่ชัดเจนพอจะพิสูจน์ได้ แต่ขั้นตอนของการ ‘ผูกเท้า’ นั้นเริ่มต้นขึ้นมาตั้งแต่เด็กผู้หญิงมีอายุ 5 ถึง 7 ขวบ โดยเท้าของเด็กคนนั้นจะถูกสวมเข้ากับรองเท้าก่อนจะรัดให้แน่น ถึงแม้จะเจ็บปวดมากแค่ไหน เด็กคนนั้นจะไม่สามารถที่จะถอดมันออกได้ เพราะเธอต้องสวมมันต่อไปจนกระทั่งโตขึ้น!
ซึ่งพอโตขึ้นแล้วเท้าจะมีรูปร่างลักษณะทุกอย่างมันดูผิดรูปผิดร่างไปหมดเลย และจะเรียกเท้าแบบนี้กันว่า ‘เท้าดอกบัว‘แต่เขาว่ากันว่า ยิ่งผู้หญิงคนไหนมีเท้าที่เล็ก เธอคนนั้นจะถูกให้คำนิยามว่าสวย และเท้าเล็กๆ ของเธอจะสามารถดึงดูดความสนใจของเพื่อนต่างเพศได้เพราะฉะนั้นถ้าอยากสวย อยากได้รับความสนใจ ก็จงทำให้เท้าเล็กซะ!
4. ความสวยของกะโหลกศีรษะคือสิ่งที่ชาวมายาให้ความสำคัญ


ย้อนกลับไปในช่วง 1000 ปีก่อนคริสตศักราช ได้มีหลักฐานปรากฏออกมาเกี่ยวกับการปรับลักษณะของกะโหลกขึ้นเป็นครั้งแรกโดยชาวมายา โดยเริ่มตั้งแต่ช่วงที่เป็นเด็กทารกกันเลยทีเดียว ซึ่งวิธีการของการปรับลักษณะของกะโหลกดังกล่าวนี้ก็คือ การรัดศีรษะของเด็กไว้บนไม้กระดานหรือมัดด้วยเครื่องมืออื่นๆ ที่จะทำให้กะโหลกของเด็กคนนั้นเปลี่ยนรูปร่างใหม่
โดยเหตุผลนั้นไม่ใช่เรื่องของการเข้าสังคมหรืออะไร หากแต่เป็นเพราะความสวยงามเท่านั้น และนอกจากชาวมายาแล้วยังมีหลักฐานปรากฏอีกหลายชนเผ่าที่นิยมใช้วิถีเดียวกัน
ยกตัวอย่างเช่น ชนเผ่าดั้งเดิม, ชนเผ่าฮาวาย และอินคา เป็นต้น
5. การไว้เล็บยาวในประเทศจีนนั้นเป็นที่นิยม

ในประวัติศาสตร์ของประเทศจีนนั้นได้มีเรื่องราวของการไว้เล็บเกิดขึ้นครั้งแรกในสมัยของราชวงศ์ชิง ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย พวกเขาและเธอต่างจะพากันไว้เล็บยาว และคำว่ายาวที่ว่าไม่ใช่แค่ 4-5 เซนนะจ๊ะ แต่มันยาวถึง 8-10 นิ้วเลยทีเดียว! และผู้หญิงบางคน ก็จะมีการเคลือบเล็บของพวกเธอด้วยทองคำเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับมัน
ซึ่งค่านิยมดังกล่าวนี้ส่วนใหญ่จะมีแต่ชนชั้นสูงเท่านั้นที่นิยม เพราะพวกเขาไม่ต้องทำงานแบกห่าม หรือกระทำการใดๆ ที่เสี่ยงต่อการทำให้เล็บที่ไว้นั้นหัก หากพวกเขาต้องการอะไร พวกเขาจะนิยมออกคำสั่งกับผู้เป็นบ่าวรับใช้ ยกตัวอย่างเช่น เวลาที่ต้องการสวมเสื้อผ้า หรือรับประทานอาหาร เป็นต้น
6. ผู้ชายรู้จักการดูแลรูปร่างมาตั้งแต่ยุคกลางแล้ว!

ถ้าพูดถึงสมัยนี้ ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายก็ล้วนแล้วแต่จะหันมาให้ความสนใจกับการดูแลรูปร่างอาหารการกินกันมากขึ้น แต่ต้องขอบอกเลยว่าเรื่องของการดูแลหุ่นและรูปร่างนั้นมีมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 แล้ว แถมกลุ่มที่หันมาให้ความสนใจแรกๆ นั้นไม่ใช่ผู้หญิง แต่เป็นผู้ชาย!
โดยผู้ชายในสมัยนั้นจะให้ความสนใจกับการสร้างกล้ามเนื้อมาก ถ้าส่วนไหนสามารถสร้างกล้ามเนื้อให้ชัดเจนขึ้นมาได้ พวกเขาจะทำมันหมด เห็นได้ชัดเจนเลยคือส่วนของน่อง เพราะเวลาใส่ถุงเท้า ถุงเท้าจะรัดเข้ากับน่องพอดิบพอดี เพราะฉะนั้นยิ่งน่องของใครมีกล้ามเนื้อที่เห็นได้ชัด มันจะดูดีมาก ยกตัวอย่าง พระเจ้าเฮนรีที่ 8 จะสังเกตว่าน่องของพระองค์มีส่วนโค้ง ส่วนเว้าที่ชัดเจนมาก แม้ว่าในสมัยนี้เราอาจจะมองว่าคนที่มีน่องในลักษณะนี้คือคนน่องใหญ่ น่องปูด น่องไก่ แต่ขอบอกเลยว่าในยุคกลาง ใครที่น่องสวยแบบนี้เขาถือว่าดูดีนะ จะบอกให้
7. นอกจากผมที่ไม่ต้องการ ผู้หญิงในยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการยังไม่ต้องการขนตาอีก!

อ่านหัวข้อแล้วต้องหันกลับมามองที่ตอนนี้เลย เพราะผู้หญิงเราในตอนนี้นั้นให้ความสำคัญกับขนตา กับขนคิ้วกันมาก ใครที่ไม่มียิ่งต้องไปหามาต่อ มาเติม ส่วนใครที่มีก็ถือว่าสวยและโชคดีกันไป แต่ในยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการนั้น ผู้หญิงคนไหนที่ไม่มีขนตา ขนคิ้วจะถูกมองว่ามีใบหน้าที่สวย ดูเกลี้ยงเกลา ดูสะอาดสะอ้านน่ามอง
ดังนั้นตั้งแต่ไหนแต่ไร ผู้หญิงในยุคนี้นิยมถอนขนตาทิ้ง โกนขนคิ้วออก ฟังดูแอบเจ็บปวดอยู่เหมือนกัน แต่เพื่อให้ได้รับการยอมรับ และเพื่อความสวย ต่อให้เจ็บแค่ไหน คนเป็นผู้หญิงก็ยอมทน ...!?
8. คนเอเชียบางประเทศสมัยก่อน นั้นชอบให้ตัวเองฟันดำ

หากคุณกำลังเบื่อ ที่จะต้องมานั่งแปรงฟันตัวเองหลังอาหารเช้า - กลางวัน - เย็น อยู่แล้วล่ะก็… คุณคงอยากย้อนเวลาไปสมัยก่อนฟันดำเกิดจากวัฒนธรรมการกินหมาก เนื่องจากเมื่อกินหมากเป็นที่นิยมตั้งแต่ชนชั้นปกครองจนถึงระดับชาวบ้านมากว่าพันปีแล้วทำให้เกิดค่านิยมมองเห็นฟันดำว่าดีงาม เป็นผู้กินหมากมีวัฒนธรรมที่ดี ดังนั้นดินแดนแถบนี้จะกินหมากกัน ถ้าเห็นคนฟันขาวก็เป็นที่รู้กันว่าดูแปลกไป

ส่วน สาวๆ หนุ่มๆ ยังไม่กินหมากก็ต้องขวนขวายทำให้ฟันตัวเองดำด้วยการทำซี่ฟัน คือ เอาเหล็กร้อนเผา จนแดงแล้วเอากะลามะพร้าวจี้ใส่จะเกิดเมือกสีดำ เอามาทาฟันให้ดำเข้าไว้เพื่อจะได้เห็นว่าฟันดำสวยงาม การซี่ฟันต้องทำบ่อยๆ เพราะจะหลุดง่าย หรือที่ประเทศญี่ปุ่นก็เช่นกัน โดยค่านิยมของผู้หญิงญี่ปุ่นในสมัยก่อนนั้น จะนิยมทำฟันของตัวเองให้ดำ หลังจากเข้าพิธีแต่งงานแล้ว เพราะฟันดำเป็นสัญลักษณ์ของความสวยและการสมรส
9. สาวๆ ยุคคลาสสิกนิยมตกแต่งใบหน้าของพวกเธอด้วยของตกแต่ง


หลังจากที่สาวๆ นิยมเปลือยใบหน้าสดของตัวเองไปกันแล้ว ก็ได้เวลาแห่งการแต่งแต้มสีสันด้วยเครื่องสำอางหนาๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงศตวรรษที่ 18 ผู้หญิงหลายคนนิยมตกแต่งใบหน้าของตัวเองด้วยของตกแต่งชิ้นเล็กๆ ที่ทำมจากผ้า มีตั้งแต่รูปดาว, วงกลม, หัวใจ ที่มันมีความหมายดีๆ และเป็นที่ดึงดูดใจแก่ผู้พบเห็น
ยกตัวอย่างเช่น ถ้าผู้หญิงคนไหนแปะของตกแต่งไว้ที่แก้มด้านขวานั้นหมายความว่า ผู้หญิงคนนั้นแต่งงานแล้ว เป็นต้น
10. สาวๆ ในศตวรรษที่ 17 นิยมโชว์เนินอกของตัวเอง

สำหรับค่านิยมของหญิงสาวชาวอังกฤษ ในช่วงศตวรรษที่ 17 นั้น ต้องบอกเลยว่าเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังแห่งความสร้างสรรค์มากๆ เพราะพวกเธอเริ่มกล้าที่จะเปิดเผยเนื้อหนังต่อสายตาประชาชีกันมากขึ้น จากการเปลือยคอให้โล่งๆ รวมถึง ‘หน้าอก’ ที่กลายมาเป็นจุดเด่นที่สำคัญอีกหนึ่งจุดบนเรือนร่าง พวกเธอนิยมที่จะโชว์เนินอกด้วยการสวมชุดคอคว้านกว้าง และยิ่งผิวของผู้หญิงคนไหนบางจนเห็นเส้นเลือด ถือว่าเป็นผิวที่น่าอิจฉา
แต่ถ้าถามว่าเราจะเห็นผู้หญิงทุกคนไหมที่แต่งตัวในลักษณะนี้ ก็ต้องตอบว่าไม่ เพราะถ้าเป็นชนชั้นแรงงานก็จะเป็นอีกแบบหนึ่ง แต่ถ้าเป็นกลุ่มสาวที่ชอบเข้าสังคม หรือหัวแฟชั่นจัดๆ ก็จะนิยมแต่งสไตล์ที่ว่า
เพราะมันถือเป็นการโชว์จุดเด่นของตัวเองออกมาให้ผู้อื่นได้เห็น แถมยังสร้างความมั่นใจให้แก่คนๆ นั้นได้ในอีกทางหนึ่งอีกด้วย

หากคุณเคยเห็นภาพวาดของผู้หญิงในยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการกันมาก่อน เคยสังเกตกันไหมว่าบริเวณหน้าผากของพวกเธอมันทั้งกว้าง และยกสูงขึ้นไปมากๆ ที่เป็นแบบนี้ไม่ใช่เพราะกรรมพันธุ์หรืออะไรนะ แต่เป็นเพราะพวกเธอเหล่านั้น ได้โกนมันออกไปต่างหาก เพราะในสมัยนั้นคำจำกัดความของคำว่าสวยนั้นอยู่ที่ 'หน้าผาก' คือถ้าหน้าผากของผู้หญิงคนไหนกว้าง นั่นก็แปลว่าผู้หญิงคนนั้นสวย ความกว้างคือคำจำกัดความของคำว่าสวย ถ้าอยากสวยมากก็ต้องโกนผมออกไปให้มาก
2. การเพ้นท์ขาเป็นที่นิยมมากในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง

เนื่องจากปัญหาไนล่อนขาดแคลนในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง เลยทำให้เกิดการเพ้นท์ขาขึ้นมา เพราะการสวมใส่ถุงน่องนั้นเป็นสิ่งจำเป็นมากสำหรับคนเป็นผู้หญิงในสมัยนั้น แต่พอเกิดปัญหาดังกล่าวขึ้น ธุรกิจการเพ้นท์ขาก็บูมขึ้นมาทันที เพราะเราสามารถที่จะออกแบบได้ว่าเราอยากได้ลายอะไร แบบไหน หรือผู้หญิงบางคนก็เพ้นท์เป็นสีดำ สีน้ำตาลให้เหมือนถุงน่องจริงๆ ทั้งขาไปเลย หรือบางคนความคิดบรรเจิดจัด มีการใช้น้ำเกรวี่ในการทาให้ได้สัมผัสของขาที่เหมือนถุงน่องจริงๆ ก็มี ถือเป็นอะไรที่ฟังดูสนุกสนาน ภายใต้สถานการณ์ของการขาดแคลนไนล่อนในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง
3. ในประเทศจีน ยิ่งคุณมีเท้าที่เล็กเท่าไหร่ คุณจะยิ่งสวยมากเท่านั้น!

แม้ว่าจะต้องทนทุกข์ทรมานกับการบีบตัวของเท้า แต่เพื่อความสวย ผู้หญิงจีนเขายอมหมดแหละ ส่วนต้นกำเนิดของการสวมใส่รองเท้าคู่เล็ก (มาก) นี้ยังไม่พบหลักฐานที่ชัดเจนพอจะพิสูจน์ได้ แต่ขั้นตอนของการ ‘ผูกเท้า’ นั้นเริ่มต้นขึ้นมาตั้งแต่เด็กผู้หญิงมีอายุ 5 ถึง 7 ขวบ โดยเท้าของเด็กคนนั้นจะถูกสวมเข้ากับรองเท้าก่อนจะรัดให้แน่น ถึงแม้จะเจ็บปวดมากแค่ไหน เด็กคนนั้นจะไม่สามารถที่จะถอดมันออกได้ เพราะเธอต้องสวมมันต่อไปจนกระทั่งโตขึ้น!
ซึ่งพอโตขึ้นแล้วเท้าจะมีรูปร่างลักษณะทุกอย่างมันดูผิดรูปผิดร่างไปหมดเลย และจะเรียกเท้าแบบนี้กันว่า ‘เท้าดอกบัว‘แต่เขาว่ากันว่า ยิ่งผู้หญิงคนไหนมีเท้าที่เล็ก เธอคนนั้นจะถูกให้คำนิยามว่าสวย และเท้าเล็กๆ ของเธอจะสามารถดึงดูดความสนใจของเพื่อนต่างเพศได้เพราะฉะนั้นถ้าอยากสวย อยากได้รับความสนใจ ก็จงทำให้เท้าเล็กซะ!
4. ความสวยของกะโหลกศีรษะคือสิ่งที่ชาวมายาให้ความสำคัญ


ย้อนกลับไปในช่วง 1000 ปีก่อนคริสตศักราช ได้มีหลักฐานปรากฏออกมาเกี่ยวกับการปรับลักษณะของกะโหลกขึ้นเป็นครั้งแรกโดยชาวมายา โดยเริ่มตั้งแต่ช่วงที่เป็นเด็กทารกกันเลยทีเดียว ซึ่งวิธีการของการปรับลักษณะของกะโหลกดังกล่าวนี้ก็คือ การรัดศีรษะของเด็กไว้บนไม้กระดานหรือมัดด้วยเครื่องมืออื่นๆ ที่จะทำให้กะโหลกของเด็กคนนั้นเปลี่ยนรูปร่างใหม่
โดยเหตุผลนั้นไม่ใช่เรื่องของการเข้าสังคมหรืออะไร หากแต่เป็นเพราะความสวยงามเท่านั้น และนอกจากชาวมายาแล้วยังมีหลักฐานปรากฏอีกหลายชนเผ่าที่นิยมใช้วิถีเดียวกัน
ยกตัวอย่างเช่น ชนเผ่าดั้งเดิม, ชนเผ่าฮาวาย และอินคา เป็นต้น
5. การไว้เล็บยาวในประเทศจีนนั้นเป็นที่นิยม

ในประวัติศาสตร์ของประเทศจีนนั้นได้มีเรื่องราวของการไว้เล็บเกิดขึ้นครั้งแรกในสมัยของราชวงศ์ชิง ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย พวกเขาและเธอต่างจะพากันไว้เล็บยาว และคำว่ายาวที่ว่าไม่ใช่แค่ 4-5 เซนนะจ๊ะ แต่มันยาวถึง 8-10 นิ้วเลยทีเดียว! และผู้หญิงบางคน ก็จะมีการเคลือบเล็บของพวกเธอด้วยทองคำเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับมัน
ซึ่งค่านิยมดังกล่าวนี้ส่วนใหญ่จะมีแต่ชนชั้นสูงเท่านั้นที่นิยม เพราะพวกเขาไม่ต้องทำงานแบกห่าม หรือกระทำการใดๆ ที่เสี่ยงต่อการทำให้เล็บที่ไว้นั้นหัก หากพวกเขาต้องการอะไร พวกเขาจะนิยมออกคำสั่งกับผู้เป็นบ่าวรับใช้ ยกตัวอย่างเช่น เวลาที่ต้องการสวมเสื้อผ้า หรือรับประทานอาหาร เป็นต้น
6. ผู้ชายรู้จักการดูแลรูปร่างมาตั้งแต่ยุคกลางแล้ว!

ถ้าพูดถึงสมัยนี้ ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายก็ล้วนแล้วแต่จะหันมาให้ความสนใจกับการดูแลรูปร่างอาหารการกินกันมากขึ้น แต่ต้องขอบอกเลยว่าเรื่องของการดูแลหุ่นและรูปร่างนั้นมีมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 แล้ว แถมกลุ่มที่หันมาให้ความสนใจแรกๆ นั้นไม่ใช่ผู้หญิง แต่เป็นผู้ชาย!
โดยผู้ชายในสมัยนั้นจะให้ความสนใจกับการสร้างกล้ามเนื้อมาก ถ้าส่วนไหนสามารถสร้างกล้ามเนื้อให้ชัดเจนขึ้นมาได้ พวกเขาจะทำมันหมด เห็นได้ชัดเจนเลยคือส่วนของน่อง เพราะเวลาใส่ถุงเท้า ถุงเท้าจะรัดเข้ากับน่องพอดิบพอดี เพราะฉะนั้นยิ่งน่องของใครมีกล้ามเนื้อที่เห็นได้ชัด มันจะดูดีมาก ยกตัวอย่าง พระเจ้าเฮนรีที่ 8 จะสังเกตว่าน่องของพระองค์มีส่วนโค้ง ส่วนเว้าที่ชัดเจนมาก แม้ว่าในสมัยนี้เราอาจจะมองว่าคนที่มีน่องในลักษณะนี้คือคนน่องใหญ่ น่องปูด น่องไก่ แต่ขอบอกเลยว่าในยุคกลาง ใครที่น่องสวยแบบนี้เขาถือว่าดูดีนะ จะบอกให้
7. นอกจากผมที่ไม่ต้องการ ผู้หญิงในยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการยังไม่ต้องการขนตาอีก!

อ่านหัวข้อแล้วต้องหันกลับมามองที่ตอนนี้เลย เพราะผู้หญิงเราในตอนนี้นั้นให้ความสำคัญกับขนตา กับขนคิ้วกันมาก ใครที่ไม่มียิ่งต้องไปหามาต่อ มาเติม ส่วนใครที่มีก็ถือว่าสวยและโชคดีกันไป แต่ในยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการนั้น ผู้หญิงคนไหนที่ไม่มีขนตา ขนคิ้วจะถูกมองว่ามีใบหน้าที่สวย ดูเกลี้ยงเกลา ดูสะอาดสะอ้านน่ามอง
ดังนั้นตั้งแต่ไหนแต่ไร ผู้หญิงในยุคนี้นิยมถอนขนตาทิ้ง โกนขนคิ้วออก ฟังดูแอบเจ็บปวดอยู่เหมือนกัน แต่เพื่อให้ได้รับการยอมรับ และเพื่อความสวย ต่อให้เจ็บแค่ไหน คนเป็นผู้หญิงก็ยอมทน ...!?
8. คนเอเชียบางประเทศสมัยก่อน นั้นชอบให้ตัวเองฟันดำ

หากคุณกำลังเบื่อ ที่จะต้องมานั่งแปรงฟันตัวเองหลังอาหารเช้า - กลางวัน - เย็น อยู่แล้วล่ะก็… คุณคงอยากย้อนเวลาไปสมัยก่อนฟันดำเกิดจากวัฒนธรรมการกินหมาก เนื่องจากเมื่อกินหมากเป็นที่นิยมตั้งแต่ชนชั้นปกครองจนถึงระดับชาวบ้านมากว่าพันปีแล้วทำให้เกิดค่านิยมมองเห็นฟันดำว่าดีงาม เป็นผู้กินหมากมีวัฒนธรรมที่ดี ดังนั้นดินแดนแถบนี้จะกินหมากกัน ถ้าเห็นคนฟันขาวก็เป็นที่รู้กันว่าดูแปลกไป

ส่วน สาวๆ หนุ่มๆ ยังไม่กินหมากก็ต้องขวนขวายทำให้ฟันตัวเองดำด้วยการทำซี่ฟัน คือ เอาเหล็กร้อนเผา จนแดงแล้วเอากะลามะพร้าวจี้ใส่จะเกิดเมือกสีดำ เอามาทาฟันให้ดำเข้าไว้เพื่อจะได้เห็นว่าฟันดำสวยงาม การซี่ฟันต้องทำบ่อยๆ เพราะจะหลุดง่าย หรือที่ประเทศญี่ปุ่นก็เช่นกัน โดยค่านิยมของผู้หญิงญี่ปุ่นในสมัยก่อนนั้น จะนิยมทำฟันของตัวเองให้ดำ หลังจากเข้าพิธีแต่งงานแล้ว เพราะฟันดำเป็นสัญลักษณ์ของความสวยและการสมรส
9. สาวๆ ยุคคลาสสิกนิยมตกแต่งใบหน้าของพวกเธอด้วยของตกแต่ง


หลังจากที่สาวๆ นิยมเปลือยใบหน้าสดของตัวเองไปกันแล้ว ก็ได้เวลาแห่งการแต่งแต้มสีสันด้วยเครื่องสำอางหนาๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงศตวรรษที่ 18 ผู้หญิงหลายคนนิยมตกแต่งใบหน้าของตัวเองด้วยของตกแต่งชิ้นเล็กๆ ที่ทำมจากผ้า มีตั้งแต่รูปดาว, วงกลม, หัวใจ ที่มันมีความหมายดีๆ และเป็นที่ดึงดูดใจแก่ผู้พบเห็น
ยกตัวอย่างเช่น ถ้าผู้หญิงคนไหนแปะของตกแต่งไว้ที่แก้มด้านขวานั้นหมายความว่า ผู้หญิงคนนั้นแต่งงานแล้ว เป็นต้น
10. สาวๆ ในศตวรรษที่ 17 นิยมโชว์เนินอกของตัวเอง

สำหรับค่านิยมของหญิงสาวชาวอังกฤษ ในช่วงศตวรรษที่ 17 นั้น ต้องบอกเลยว่าเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังแห่งความสร้างสรรค์มากๆ เพราะพวกเธอเริ่มกล้าที่จะเปิดเผยเนื้อหนังต่อสายตาประชาชีกันมากขึ้น จากการเปลือยคอให้โล่งๆ รวมถึง ‘หน้าอก’ ที่กลายมาเป็นจุดเด่นที่สำคัญอีกหนึ่งจุดบนเรือนร่าง พวกเธอนิยมที่จะโชว์เนินอกด้วยการสวมชุดคอคว้านกว้าง และยิ่งผิวของผู้หญิงคนไหนบางจนเห็นเส้นเลือด ถือว่าเป็นผิวที่น่าอิจฉา
แต่ถ้าถามว่าเราจะเห็นผู้หญิงทุกคนไหมที่แต่งตัวในลักษณะนี้ ก็ต้องตอบว่าไม่ เพราะถ้าเป็นชนชั้นแรงงานก็จะเป็นอีกแบบหนึ่ง แต่ถ้าเป็นกลุ่มสาวที่ชอบเข้าสังคม หรือหัวแฟชั่นจัดๆ ก็จะนิยมแต่งสไตล์ที่ว่า
เพราะมันถือเป็นการโชว์จุดเด่นของตัวเองออกมาให้ผู้อื่นได้เห็น แถมยังสร้างความมั่นใจให้แก่คนๆ นั้นได้ในอีกทางหนึ่งอีกด้วย
ขอบคุณที่มา:
แหล่งที่มาของข้อมูล
https://worldhistory.us/chinese-history/foot-binding-in-china.php
https://vikinglifeblog.wordpress.com/2018/01/16/head-binding/
https://www.ancient-origins.net/history-ancient-traditions/allure-blackened-teeth-traditional-japanese-sign-beauty-005544
https://perkypear.com/blog/cleavage-styles-in-the-17th-19th-century/
แหล่งที่มาของข้อมูล
https://worldhistory.us/chinese-history/foot-binding-in-china.php
https://vikinglifeblog.wordpress.com/2018/01/16/head-binding/
https://www.ancient-origins.net/history-ancient-traditions/allure-blackened-teeth-traditional-japanese-sign-beauty-005544
https://perkypear.com/blog/cleavage-styles-in-the-17th-19th-century/
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
4 VOTES (4/5 จาก 1 คน)
VOTED: เยี่ยหัว
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ












Hot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด




