Share Facebook LINE Twitter
หน้าแรก เว็บบอร์ด Chat ตรวจหวย ควิซ คำนวณ Pageราคาทองคำ
หน้าแรก ตรวจหวย เว็บบอร์ด ควิซ Pic Post แชร์ลิ้ง หาเพื่อน Chat หาเพื่อน Line Page อัลบั้ม คำคม Glitter เกมถอดรหัสภาพ คำนวณ การเงิน ราคาทองคำ กินอะไรดี
ติดต่อเว็บไซต์ลงโฆษณาลงข่าวประชาสัมพันธ์แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสมเงื่อนไขการให้บริการ
News บอร์ดต่างๆค้นหาตั้งกระทู้

วันสังขานต์ล่อง วันเน่า วันพญาวัน วันปากปี วันขึ้นปีใหม่ตามคติของชาวล้านนา

โพสท์โดย แมวโย่ว์

วันขึ้นปีใหม่ตามคติของไทยเรานั้นก็คือวันสงกรานต์ มีจำนวน 3 วัน คือวันที่ 13-14-15 เมษายน ของทุกปี แต่ในคติของคนเมืองหรือชาวล้านนานั้น จะมีความแตกต่างไปจากภาคอื่นๆอยู่เล็กน้อย วันนี้จะพาท่านไปรู้จักความหมายของวันส่งท้ายปีเก่าต่อเนื่องขึ้นปีใหม่ทั้ง 4 วันของทางล้านนากัน ได้แก่

วันสังขานต์ล่อง

วันสังขานต์ล่อง หรือวันสังขารล่อง หรือวันสังกรานต์ล่อง เป็นวันแรกของกิจกรรมปีใหม่ "สังขานต์" คือคำเดียวกับ "สงกรานต์" ในภาษาสันสกฤตซึ่งแปลว่า "ก้าวล่วงแล้ว" วันสังขานต์ล่องในภาษาล้านนา ตรงกับภาคกลาง คือวันมหาสงกรานต์ ถือเป็นวันสิ้นสุดของปีเก่า ในหนังสือประเพณีสิบสองเดือนล้านนาให้ความหมายว่า สังกรานต์ หมายถึงวันเดือนปีที่ล่วงไป (มณี พยอมยงค์, ๒๕๔๓, หน้า ๕๖) ในสารานุกรมวัฒนธรรมไทยภาคเหนือ (๒๕๔๒, หน้า ๖๗๒๔) กล่าวถึงวันสังกรานต์ล่อง คือวันที่พระอาทิตย์โคจรไปสุดราศีมีน จะเข้าสู่ราศีเมษ

วันสังขานต์ล่องในแต่ละปีอาจไม่ตรงกันทุกปี เช่น พ.ศ.๒๕๕๑ ตรงกับวันที่ ๑๓ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๒ ตรงกับวันที่ ๑๔ เมษายน (ปฏิทินล้านนา ฉบับวัดธาตุคำ) แต่ปัจจุบันนิยมยึดถือตามประกาศวันหยุดสงกรานต์ของทางราชการ ถือเอาวันที่ ๑๓ เมษายน ของทุกปีเป็นวันสังขานต์ล่อง (ดุสิต ชวชาติ. ประธานชมรมปักขะทืนล้านนา, สัมภาษณ์, ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๑)
ประเพณีปีใหม่เมือง

วันนี้คนล้านนาจะตื่นแต่เช้าตรู่ จุดสะโปก หรือประทัด ยิงปืน เพื่อขับไล่เสนียด จัญไร ไหลล่องไปกับปู่สังขานต์ ย่าสังขานต์ ซึ่งจะแบบรับเอาสิ่งที่ไม่ดีไม่งามในชีวิตไปเททิ้งที่มหาสมุทร การไล่สังขานต์ด้วยเสียงประทัดหรือสะโปกที่ดังแต่เช้าตรู่ จึงทำให้ทุกคนตื่นขึ้นมาเพื่อทำความสะอาดบ้านเรือน ซักที่นอน หมอนมุ้ง แล้วอาบน้ำชำระล้างร่างกายให้สะอาดผ่องใส

เด็กๆมักจะถูกหลอกให้ไปซักผ้าที่แม่น้ำแต่เช้าตรู่ เพราะจะได้เห็นสังขานต์ล่องที่แม่น้ำ คนโบราณได้สมมุติตัวสังขานต์เป็นคนแก่สองคน คือปู่สังขานต์และย่าสังขานต์ถ่อแพไหลมาตามแม่น้ำ(บัวผัน แสงงาม. ชาวบ้านหมู่ 6 ตำบลเชียงดาว อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่, สัมภาษณ์, ๑๘ มกราคม ๒๕๕๒) บ้างก็ว่าปู่สังขานต์และย่าสังขานต์หาบกระบุงตะกร้า เดินมาตามถนน เพื่อมารอรับเอา เสนียดจัญไรทั้งหลาย ไปขว้างทิ้ง บ้างก็ว่าปู่สังขานต์ย่าสังขานต์ ห่มผ่าสีแดงล่องแพมาตามแม่น้ำ นำพาสิ่งไม่ดีเป็นอัปมงคลมาด้วย จึงต้องขับไล่ด้วยเสียงดังของประทัดเร่งเร้า ให้ผ่านไปโดยเร็ว วันนี้คนโบราณจึงจะเก็บกวาด ทำความสะอาดบ้านเรือน ซักผ้า เผาเศษขยะใบไม้ให้สิ่งหมักหมมทั้งหลายหมดสิ้น ไปพร้อมๆกับสังขานต์ที่ล่องไป (น้อย ปราใจประเสริฐ. ชาวบ้านแม่อีด ตำบลเชียงดาว อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่, สัมภาษณ์, ๑๘ มกราคม ๒๕๕๒) ประเพณีปีใหม่เมือง
ประเพณีปีใหม่เมือง

สิ่งสมมุติว่าเป็นปู่สังขานต์ ย่าสังขานต์นั้น แท้จริงคือ ตัวตนของเราที่กำลังไหลล่องไป ตามวัยของสังขาร มีอายุที่มากขึ้น จึงต้องการเริ่มต้นชีวิตใหม่ให้ดีนั้น จะต้องขว้างทิ้งเสียสิ่งเศร้าหมอง ทีมีอยู่ในกาย วาจา และใจนั่นเอง สิ่งสำคัญในวันนี้คือการ "ดำหัว" โดยน้ำขมิ้นส้มปล่อย เพื่อชำระล้างสิ่งอัปมงคล และในวันนี้ มีการทำพิธีลอยสังขานต์ที่แม่น้ำใหญ่ โดยการทำแพต้นกล้วย ประดับตกแต่งด้วยดอกไม้ ช่อ ตุง อาหารคาวหวาน แห่ด้วยฆ้องกลองอย่างครึกครื้น ในการทำพิธี มีการปั้นข้าวแป้งลูบไล้ตามตัว เพื่อขจัดเสนียด จัญไร จากนั้นนำแป้งมาปั้นเป็นรูปตัวเปิ้ง หรือนักษัตรตามปีเกิดของตนเอง อธิษฐานและใส่ลงในแพ และปล่อยให้แพไหลไปตามแม่น้ำ มีปู่อาจารย์เป็นผู้ทำพิธี ในปัจจุบัน พิธีลอยสังขานต์ ยังคงปฏิบัติกันที่บ้านยางหลวง อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่เพียงแห่งเดียวเท่านั้น (เปี้ย เก่งการทำ. ปู่อาจารย์วัดยางหลวง ตำบลท่าผา อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่, สัมภาษณ์ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๕๑)

ในวันนี้ยังมีพิธีสำคัญ คือ การแห่พระพุทธสิหิงค์ พระคู่บ้านคู่เมือง ให้ประชาชนสรงน้ำและสักการบูชา เพื่อความเป็นศิริมงคลเริ่มต้นปีใหม่ และวันนี้ยังเป็นวันเริ่มต้นของการรดน้ำปีใหม่อย่างแท้จริง ชาวล้านนาใช้สะลุงใส่น้ำสำหรับรดน้ำปีใหม่ โดยรดน้ำที่หัวไหล่ พร้อมกับยิ้มแย้มแจ่มใสให้แก่กัน ส่วนใหญ่จะให้พรไปด้วยว่า โชคดีปีใหม่เน้อเจ้า

 

วันเน่า

วันเน่า หรือวันเนา เป็นวันที่สองของปีใหม่เมือง วันนี้ยังไม่ถือว่าเป็นปีใหม่ เป็นช่วงที่พระอาทิตย์ยังเนาอยู่ระหว่างราศีมีนกับราศีเมษ ในแง่โหราศาสตร์ถือเป็นวันไม่ดี ไม่ส่งเสริมมงคล และเชื่อว่าหากใครด่าทอ ทะเลาะ วิวาทกัน จะทำให้ปากเน่าเหม็นเป็นอัปมงคลตลอดทั้งปี วันนี้จะไม่ดุด่า ว่าร้ายให้แก่กัน ตามประเพณีแล้ววันนี้เป็น "วันดา" คือวันที่ต้องเตรียมสิ่งของต่างๆเพื่อใช้ทำบุญในวันรุ่งขึ้น และตลอดทั้งวัน เด็กๆ บ่าว สาว เฒ่า แก่ จะพากันไปขนทรายที่แม่น้ำ เข้าวัด เพื่อก่อเป็นเจดีย์ทราย
เหตุที่ทางล้านนาเรียกวันนี้ว่าวันเน่า เพราะเชื่อตามวรรณกรรมที่มีการกล่าวขานกันมาว่า นานมาแล้วยังมีพญาตนหนึ่งได้ตายจากไปในวันหลังวันสังขารล่อง แล้วกลายไปเป็นเปรตหัวเน่า คนจึงเรียกวันนี้ว่าวันเน่า วรรณกรรมดังกล่าวได้แก่ธัมม์ หรือธรรมเรื่องอานิสงส์ปีใหม่ กล่าวว่า พระพุทธเจ้าได้ตรัสเล่าแก่พระเจ้าปเสนทิโกศลว่า พระยาสุริยะครองเมืองกลิงคราษฏร์ เลี้ยงผีปีศาจไว้มากมาย ตายไปในวันหลังสังขารล่องหนึ่งวัน ไปเกิดเป็นเปรตหัวเน่าอยู่นอกฟ้าจักรวาล ครั้นภายหลังภริยาสองนางตายไปเกิดเป็นเปรตอยู่ด้วยกัน เปรตทั้งสองนางจึงช่วยกันล้างหัวเน่าของพญา จึงเรียกว่าวันนี้ว่า วันเน่า

คนล้านนามีความเชื่อเรื่องวันเน่าว่า ถ้าหากผู้ประสงค์จะปลูกเรือนไม้ไผ่ ให้รีบตัดไม้ภายในวันนี้ เพราะเชื่อว่าไม้จะไม่เน่าและไม่มีมอดหรือปลวกมากินไม้ดังกล่าว

วันเน่าหรือวันเนานี้ บางปีจะมีสองวัน บางปีจะมีวันเดียว ส่วนมากจะมีวันเดียว ที่มีสองวันเพราะการนับวันตามแบบจันทรคตินั้น สี่ปีจะมีเดือนเดือนสิบ ๒ หนแบบไทยล้านนาครั้งหนึ่ง หรือสี่ปีจะมีเดือนแปด ๒ หนตามแบบไทยภาคกลางครั้งหนึ่ง หรืออาจเกี่ยวข้องกับการคำนวณวันเวลาตามแบบโหราศาสตร์ที่ตกทอดกันมาแต่ดั้งเดิม (โฮงเฮียนสืบสานภูมิปัญญาล้านนา, ๒๕๕๑, หน้า ๑๔)

วันนี้ช่วงสายๆ แม่บ้านพ่อเรือนจะช่วยกันเตรียมขนมหรือข้าวหนมที่จะใช้ทำบุญ ดำหัวและเลี้ยงแขก เป็นของฝากญาติพี่น้องที่มาเยี่ยมเยือน ในอดีตพ่อเรือนมักจะนิยมดองเหล้าไว้ล่วงหน้า โดยใช้กรรมวิธีแบบโบราณ ใช้ส่าเหล้าหมักกับข้าวสารไว้ในไห และจะเปิดดื่มเพื่อเลี้ยงแขกในช่วงปีใหม่พอดี ส่วนข้าวหนมที่มักนิยมทำกันในช่วงปีใหม่ ได้แก่ ข้าวหนมจ็อก ข้าววิตูหรือข้าวเหนียวแดง ข้าวต้มหัวงอก ข้าวต้มมัด ข้าวหนมจั้น ข้าวแคบ ข้าวควบ ข้าวแตน ข้าวหนมเกลือ ข้าวหนมลิ้นหมา ฯลฯ แป้งทำข้าวหนมก็ได้จากการนำข้าวไปตำที่ครกกระเดื่อง ไม่ได้ซื้อหากันอย่างปัจจุบันนี้ ส่วนอาหารก็มักจะเป็น ห่อนึ่งปลีใส่เนื้อไก่ ใส่วุ้นเส้น ห่อนึ่งหน่อส้มใส่ไก่ แกงอ่อม แกงฮังเล ชิ้นสม(แหนม) เป็นต้น (น้อย ปราใจประเสริฐ ชาวบ้านแม่อีด ตำบลเชียงดาว อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่, สัมภาษณ์, ๑๘ มกราคม ๒๕๕๒)

ประเพณีขนทรายเข้าวัด ส่วนใหญ่นิยมขนทรายกันในวันเน่า มีบางท้องถิ่นขนทรายในวันพญาวัน ทรายส่วนใหญ่ในอดีตจะต้องพากันเดินไปเอาทรายที่แม่น้ำใหญ่ เพราะช่วงเดือดเมษายนน้ำจะแห้งขอด จะเกิดหาดทรายขึ้นทั่วไป เช่น คนในเมืองเชียงใหม่จะถือขันสลุงไปตักทรายแม่น้ำปิงตรงเชิงสะพานนวรัตน์ มาก่อเจดีย์ทรายที่วัดของตน (ดุสิต ชวชาติ. ปู่อาจารย์, สัมภาษณ์, ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๑) ขณะขนทรายเข้าวัด กล่าวคำขนทรายเข้าวัดเป็นภาษาบาลีว่า "อะโห วะตะ เม วาลุกัง ติระตะนานัง สัพพะปาปัง วินัสสันตุ" วนไปวนมาจนขนทรายเสร็จ (โฮงเฮียนสืบสานภูมิปัญญาล้านนา, ๒๕๕๑, หน้า ๑๗)

การขนทรายเข้าวัดเพื่อก่อเป็นเจดีย์ทราย มีคติในการกำหนดรูปแบบที่แตกต่างกันไป เช่นก่อเป็นเจดีย์ทรายเล็กๆ เท่าจำนวนอายุ ก่อเจดีย์ทรายตามจำนวนสมาชิกในครอบครัว เมื่อก่อเสร็จ ให้นำตุงเทวดา ตุงคน ตุงไส้หมู ตุงสิบสองราศี ช่อ ข้าวตอกดอกไม้ปักประดับเป็นพุทธบูชา บางวัดก็นิยมสานเสวียนเป็นชั้นๆ ขึ้นไป ๓ ชั้น ๕ ชั้น หรือทำเจดีย์ทรายขนาดใหญ่ ๙ ชั้น เรียกว่า "เจดีย์ทรายสุดซ้าว" เพราะเปรียบเทียบความสุงยาว ขนาดเท่ากับลำไม้ไผ่ที่เป็นแกนเสวียนสุงถึงปลายสุดไม้ไผ่ เจดีย์ขนาดใหญ่จำเป็นต้องใช้ทรายจำนวนมาก ดังนั้นการทำเจดีย์ทรายสุดซ้าว จะต้องอาศัยความสามัคคีความร่วมมือจากชาวบ้าน ในชุมชนเป็นอย่างมาก

การขนทรายเข้าวัด ถือเป็นการชดเชยใช้หนี้คืนให้แก่ธรณีสงฆ์ เป็นการขอขมาต่อ "ข่วงแก้วทั้งสาม" (ลานพระรัตนตรัย) เพราะในอดีต ลานวัดจะปูด้วยทรายทั่วทั้งบริเวณ เรียกว่า "ลานทราย" มีคติความเชื่อว่าลานทรายเปรียบเสมือนทะเลสีทันดรที่รอบล้อมจักรวาล ส่วนโบสถ์วิหารหรือพระเจดีย์เปรียบเป็น เขาพระสุเมรุศูนย์กลางของจักรวาล ยอดสูงสุดของพระเจดีย์ที่เรียวแหลม เหมือนจะทะลุฟ้าขึ้นไปนั้นคือเป้าหมายสูงสุดของสัตว์ทั้งหลาย อันอาศัยอยู่ในมงคลจักรวาลเรานี้ นั่นคือเมืองแก้วมหาเนรพาน หรือพระนิพพานเป็นที่สิ้นสุด (โฮงเฮียนสืบสานภูมิปัญญาล้านนา, ๒๕๕๑, หน้า ๑๗) ดังนั้น ทรายที่อยู่ตามลานวัดนั้นถือเป็นของสงฆ์ ทั้งนี้มีคติความเชื่อที่ว่าการนำของสงฆ์ออกไปโดยไม่ได้รับอนุญาตนั้น จะเป็นปาบอย่างใหญ่หลวง เนื่องจากการเดินเข้าข่วงลานวัดแล้วเดินออกไปจากวัด อาจจะมีดินทรายที่เยียบย่ำติดเท้าออกไปด้วย โดยที่เราไม่รู้ตัว เมื่อถึงเทศกาลปีใหม่เมือง ก็จะมีการขนทรายเข้าวัดเพื่อใช้หนี้สงฆ์จะได้ชดเชยบาปที่เม็ดทายติดตัวออกไป และทรายที่ขนมานั้นยังก่อให้เกิดประโยชน์ต่อการบูรณปฏิสังขรณ์ หรือนำไปใช้เพื่อปลูกสร้างสิ่งต่างๆ ภายในวัดให้เกิดประโยชน์ต่อไป

 

วันพญาวัน

วันพญาวัน วันที่สามของประเพณีปีใหม่เมือง ถือเป็นวันเถลิงศก เปลี่ยนศักราชเริ่มต้นปีใหม่ วันนี้มีการทำบุญทางศาสนาแต่เช้าตรู่ และอุทิศกุศลไปถึงญาติผู้ล่วงลับ เรียกว่า "ทานขันข้าว" บางแห่งว่า "ทานกวั๊ะข้าว" หลังจากนั้นนำตุงปักลงบนกองเจดีย์ทราย และคนเฒ่าคนแก่ก็อยู่ร่วมพิธีเวนทานเจดีย์ทราย ถวายช่อตุงปีใหม่ และฟังเทศนาธรรมอานิสงส์ปีใหม่ ช่วงบ่ายเป็นช่วงไปดำหัว เพื่อขอขมาคนเฒ่าคนแก่ พ่อแม่ ครูอาจารย์ ไปสรงน้ำพระพุทธรูป เจดีย์ วันนี้คนล้านนาจะทัดดอกไม้นามปี เพื่อให้เกิดความเป็นมงคลแก่ชีวิต เช่น พ.ศ. ๒๕๕๒ ให้ทัดดอกเก็ดถว๋า (ดอกซ้อน) โดยให้เสียบที่มวยผม (พระครูอดุลสีลกิตติ์, ๒๕๕๑, หน้า ๔) นอกจากนี้ ยังนิยมเริ่มต้นเรียนศาสตร์ศิลป์ต่างๆ เป็นต้นว่า มนต์คาถา สักยันต์ หรือทำพิธีสืบชะตา ขึ้นบ้านใหม่ ไหว้ครู และในหลายพื้นที่ยังมีกิจกรรมแห่ไม้ค้ำศรี หรือไม้ค้ำโพธิ์ เพื่อสืบต่ออายุพระศาสนา และค้ำชูอุดหนุนให้แก่ชีวิตเจริญรุ่งเรือง

การทานขันข้าวในวันพญาวัน เป็นการถวายอาหารให้แก่ผู้ที่ล่วงลับ อาจเป็นของที่ผู้ตายชอบทาน หรืออาหารขนมทั่วไป ใส่ในถาดหรือตะกร้าและมีซองปัจจัยเขียนคำอุทิศไว้หน้าซอง
เช่น ศรัทธานายปั๋น นางคำ อุทิศถวายแด่แม่อุ้ยแก้ว ผู้ล่วงลับ บางคนก็จะถวายเป็นบุญสำหรับตัวเองเรียกว่าทานไว้ภายหน้า หมายเอาว่าสะสมกองบุญไว้สำหรับตัวเองในอนาคต หรือในปรโลกถ้าเผื่อบางทีไม่มีผู้ที่จะทำบุญอุทิศไปหาเรา บางคนถวายทานแด่ เจ้ากรรมนายเวร เทวบุตร เทวดา พ่อเกิด แม่เกิด ฯลฯ แล้วแต่จิตศรัทธา บัวผัน แสงงาม ชาวบ้านหมู่ 6 ตำบลเชียงดาว อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่, สัมภาษณ์ ๑๘ มกราคม ๒๕๕๒)
การทำบุญอุทิศไปหาผู้ล่วงลับไปแล้วนี้ หากจะทานไปหาผีตายเก่าเน่านานที่ตายธรรมดา ก็จะเข้าไปถวายในวัด แต่หากผู้ล่วงลับไปแล้วเป็นผีตายโหง เป็นผีตายร้าย ไม่ได้ตายดี ก็จะทานขันข้าวนอกวัด คือนิมนต์พระภิกษุหรือสามเณรออกมารับทานที่นอกกำแพงวัด เพราะถือว่าผีตายร้ายผีตายโหงและตายไม่ดีอื่นๆ เข้าไปในเขตวัดไม่ได้ (โฮงเฮียนสืบสานภูมิปัญญาล้านนา, ๒๕๕๑, หน้า ๒๔)

วันนี้พระภิกษุสามเณรเองก็ต้องตื่นแต่เช้ามากๆ เช่นเดียวกัน เพราะชาวบ้านมักนิยมมาทำบุญทานขันข้าวมากว่าปกติ บางครั้งพระสงฆ์อาจจะแยกย้ายกันทำพิธีเช่นว่านี้หลายแห่ง ตามกุฏิพระ ศาลาวัด วิหาร ศาลาบาตร ตามมุมต้นไม้ต่าง ๆ เนื่องจากผู้คนมาทานขันข้าวในวันพญาวันมากกว่าวันพระและวันศีลปกติ เสียงพระให้พรดังไปทั่วบริเวณที่ผู้คนมาทานขันข้าว เด็กวัดหรือ "โขยม" ตามภาษาล้านนา ช่วยกันขนของที่ผู้คนนำมาถวายพระไปเก็บ การทานขันข้าวนี้ไม่จำกัดว่าจะต้องทานเฉพาะพระสงฆ์เท่านั้น บางคนอาจนำไปทาน ให้แก่พ่อแม่ ปู่ย่าตายาย ผู้เฒ่าผู้แก่หรือผู้ที่ตนเคารพนับถือ เรียกว่า "ทานขันข้าวคนเฒ่าคนแก่" หรือ บางพื้นที่มีการนับถือผีปู่ย่า ซึ่งเป็นผีบรรพบุรุษ ผีเสื้อบ้าน สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คนในพื้นที่นับถือ ผู้คนก็จะนำขันข้าวนี้ไปถวายด้วยเพื่อขอปกปักษ์รักษาให้ทุกคนอยู่ดีมีสุข และถือเป็นการสุมาคารวะในช่วงปีใหม่เมือง (เจริญ มาลาโรจน์, สัมภาษณ์, ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๒)

หลังจากทานขันข้าว บ้างก็กลับบ้านนำเอาธงหรือตุงไปปักพระเจดีย์ทราย บ้างก็ให้ลูกหลานเป็นผู้นำมาปักที่กองเจดีย์ทรายตรงลานวัด บางแห่งก็นิยมนำน้ำใส่ขันสะหลุงมาบูชารดลงที่กองเจดีย์ทรายนั้นด้วย การถวายทานด้วยตุงปีใหม่นี้ มีคติว่าการทานตุงนั้นมีอานิสงส์ สามารถช่วยให้ผู้ตายที่
มีบาปหนักถึงตกนรกนั้นสามารถพ้นจากขุมนรกได้ โดยหางตุงหรือชายตุงจะกวัดแกว่งไปถึงยมโลก ให้ผู้ที่ตกนรกนั้นเกาะชายตุงขึ้นสู่สวรรค์ ในการทำบุญอุทิศเจดีย์ทรายหรือทุงนั้น"ปู่อาจารย์"หรือมัคนายกจะกล่าวนำศรัทธาประชาชนไหว้พระรับศีล และอาราธนาพระปริตร พระสงฆ์จะเจริญพระพุทธมนต์แบบย่อพอควรแก่เวลา จากนั้นปู่อาจารย์จะโอกาสเวนทานถวายเจดีย์ที่ศรัทธาประชาชนรวมกันสร้างขึ้น

ในวันพญาวันนี้ บางท้องที่นิยมทานไม้ค้ำศรี (ไม้ค้ำโพธิ์) ไม้ค้ำศรี(ออกเสียงว่าสะหลี)จะเป็นไม้ง่าม อาจทำมาจากไม้สัก ไม้ประดู่ ไม้ฉำฉา หรือไม้เนื้อแข็งแกะสลักสวยงาม จะมีกรวยดอกไม้ธูปเทียน และกระบอกไม้อ้อ หรือไม้ไผ่บรรจุน้ำ และทรายผูกติดกับไม้ง่ามไปด้วย ตรงบริเวณง่ามของไม้ก็จะมีหมอนรองไว้
ประเพณีปีใหม่เมือง

เชื่อว่าจะหนุนค้ำจุนพระศาสนา ให้อยู่ยืนยาวตลอดไปตลอดห้าพันพระวัสส การทานไม้ค้ำศรีนี้ถือคติว่า

๑. เพื่อเป็นสัญลักษณ์ในการค้ำชูพระศาสนาให้ยาวนานต่อไป
๒. เพื่อเป็นการสืบชะตา ค้ำอายุตัวเอง และเสริมศิริมงคลในวันขึ้นปีใหม่

ในบางวัดมีต้นโพธิ์ใหญ่กิ่งก้านสาขามากมาย ได้โอกาสนี้ใช้ไม้ค้ำโพธิ์ยึดค้ำกิ่งก้านสาขาไว้ไม่ให้โน้มลงมาจนกิ่งหักได้ (โฮงเฮียนสืบสานภูมิปัญญาล้านนา, ๒๕๕๑, หน้า ๒๖)

ต้นไม้ศรี หรือ ต้นโพธิ์ คือ ต้นไม้ที่พระพุทธเจ้าประทับอาศัยร่มเงา ในคืนที่ทรงพิจารณาสภาวธรรม และก่อนการตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จากหนังสือสังขยาโลก กล่าวถึงตำนานการค้ำโพธิ์ว่า อดีตมีพระภิกษุรูปหนึ่งออกธุดงค์ในป่าลึก ระหว่างทางเห็นต้นไม้แห้งตายต้นหนึ่งมีลำต้นสวยงาม คิดว่าจะนำต้นไม้ต้นนี้กลับไปที่วัดที่จำพรรษาอยู่ แต่ก็ได้มรณภาพไปเสียก่อน ด้วยเหตุนี้จิตจึงผูกพันกับต้นไม้นี้ จึงไปเกิดเป็นตุ๊กแกอยู่ในโพงไม้ต้นนี้ และตุ๊กแกได้ไปดลใจชาวบ้านให้รู้ว่าท่านเกิดเป็นตุ๊กแก และขอให้ชาวบ้านช่วยให้พ้นจากทุกข์ โดยการนำต้นไม้ต้นนี้ไปค้ำต้นโพธิ์ที่วัด ตุ๊กแกจึงพ้นจากความทุกข์และไปเกิดเป็นมนุษย์ในภพต่อมา ( รัตนา พรหมพิชัย, ๒๕๔๒ หน้า ๖๖๒๒)
ด้วยความเชื่อที่เกี่ยวข้องกับพุทธประวัติขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า และตำนานที่กล่าวมา ต้นโพธิ์จึงเป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ ห้ามตัดฟันโดยเด็ดขาด และมีข้อห้ามตัดไม้ศรี ปรากฏในความเชื่อเรื่องขึด เรียกว่า "รานศรี" ชาวล้านนายังมักนำไม้ค้ำ สะพานเงิน สะพานคำ จากพิธีสืบชะตามาวางไว้บนค่าคบของต้นโพธิ์ เพราะเชื่อว่าจะทำให้มีอายุยืนยาว

 

วันปากปี

นปากปี เป็นวันที่ 16 เมษายน ของทุกปี วันที่สี่ของประเพณีปีใหม่ จัดว่าเป็นวันสำคัญอีกวันหนึ่งในเทศกาลปีใหม่เมือง ถือเป็นวันแรกของปี วันนี้คนล้านนาจะมารวมตัวกันเพื่อทำบุญเสาใจบ้าน หรือส่งเคราะห์บ้าน บางแห่งอาจจะต่อด้วยพิธีสืบชะตาหมู่บ้าน และพากันไปขอขมา ดำหัว พระเถระผู้ใหญ่ตามวัดต่างๆ ดำหัวผู้อาวุโส ผู้นำชุมชน ในตอนค่ำของวันนี้จะมีการบูชาเทียน สืบชะตา ลดเคราะห์ รับโชค เพื่อให้เกิดความเป็นมงคลแก่ครอบครัว

ความเชื่อบางประการเกี่ยวกับวันปากปี ชาวล้านนาจะกิน “แกงขนุน” หรือภาษาชาวบ้านเรียกว่า “แก๋งบ่าหนุน” กันทุกครอบครัว เพราะเชื่อว่าจะหนุนชีวิตให้เจริญก้าวหน้า ทั้งนี้เหตุผลของการทานแกงขนุนดังกล่าว อาจจะมาจากชื่อขนุน ที่มีความหมายถึงการเกื้อหนุน ค้ำจุน ครอบครัวให้เจริญรุ่งเรืองหรือตลอดปีของคนล้านนา และในตอนเย็นในบางพื้นที่(บางพื้นที่อาจไม่กระทำ)ยังจะมี ต้าวตังสี่หรือท้าวทั้งสี่(เทพทั้งสี่พระองค์อาจหมายถึงพระพรหมผู้มีสี่หน้า) ซึ่งมีลักษณะเป็นเสามีไม้ขัดกันเป็นสี่มุม แล้วแต่ละมุมจะมีใบตองที่ใส่เครื่องบูชาทั้งสี่ด้านหรือเรียกว่า ควัก ในทางภาษาล้านนา รวมทั้งที่ด้านล่างบนพื้นดินก็จะมีอีกหนึ่งอันเพื่อบูชาพระแม่ธรณี เชื่อว่าจะเกิดสิริมงคต่อบ้าน การกระทำนี้จะทำกันเป็น หม้ง หรือแปลว่า บ้านที่อาศัยร่วมกันใกล้เคียงที่ไม่มีรั้วกั้นเหมือนเป็นวงเดียวกัน ถ้ามีรั้วกั้นจะถือว่าอีก หม้ง แต่ละหม้งก็จะมีต้าวตังสี่อยู่ ผู้ที่กระทำพิธีภาคเหนือเรียก ปู๋จ๋านหรือมัคทายกนั้นเองและในวันนี้จะมีการบูชาเทียนปีใหม่ในช่วงค่ำขึ้นมาอีกเวลา จะเป็นพิธีกรรมในส่วนของครอบครัวที่จะกระทำกันในบ้านเรือนของตน พิธีกรรมดังกล่าวคือ การจุดเทียนบูชาบ้านเรือนหรือคนล้านนาเรียกว่า ต๋ามเตียนปู่จาพระเจ้า โดยเทียนดังกล่าวจะมีอยู่สามเล่ม คือ เทียนบูชาลดเคราะห์ เทียนบูชาสืบชะตา และเทียนบูชาโชคลาภ โดยมีการปลุกเสกโดยพระหรือมัคทายก(ปู่จ๋าน)บางท้องถิ่นจะมีการ "ต๋ามขี้สายเท่าอายุ" (การจุดเส้นไฟเท่าจำนวนอายุ) ขี้สายหรือเส้นไฟนี้จะทำมาจากเส้นด้ายพื้นเมือง นำไปชุบขี้ผึ้งหรือไขมัน หรือน้ำมันมะพร้าว ปัจจุบันนิยมชุบน้ำมันพืชที่ใช้ในครัวเพราะง่ายดี พอค่ำลง ก็จะเอาขี้สายเท่าอายุไปจุดบูชาที่ลานพระธาตุเจดีย์ในวัด หรืออาจจุดที่ลานทรายหน้าพระวิหาร ตรงที่สายตาพระเจ้าตก หรืออาจจุดที่ลานบ้านของตัวเองก็ได้ การต๋ามขี้สายเท่าอายุนี้ บางท่านก็ว่า เป็นการเผาอายุสังขารเก่าให้พ้นไป บางท่านก็ว่าเป็นการเผาเสนียดจัญไร อุบาทว์ อาถรรพณ์ ขึดขวงต่างๆ ที่ติดตัวเรามาให้หมดสิ้นไป บางท้องถิ่นก็ให้เพิ่มขี้สายไปอีกเส้นหนึ่ง ถือว่าเป็นการสืบชะตาตัวเรา ให้รุ่งเรืองรุ่งโรจน์ประดุจเปลวไฟในปีใหม่ที่มาถึงนี้

แกงขนุน

⚠ แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสม 
แมวโย่ว์'s profile


โพสท์โดย: แมวโย่ว์
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
12 VOTES (4/5 จาก 3 คน)
VOTED: makhamdong, zerotype, ท่านแมวฮั่ว
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ
ทึ่งทั่วโลก : รูปปั้นแมวในเมืองอิสตันบูล ประเทศตุรกี ที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่เจ้า "ทอมบิลีกิ" (Tombili) "แมวจรตัวที่ชิลที่สุดในโลก"เรื่องที่ควรรู้ก่อนเลือกกินวิตามินเสริมใครคือคู่แท้ ?รถไฟขบวนใหม่ อุตราวิถี กรุงเทพ- เชียงใหม่ยามเช้าของชาวอินเดียหน้าวัดไทยรีวิวหนังดัง TRON LEGACY ทรอน ล่าข้ามโลกอนาคตสะเทือนวงการวาย! “พร้อม ราชภัทร” โดนแฉ ทำสาวท้องแต่ไม่รับ แถมไล่ไปเอาออกสุดจะทน! เพื่อนบ้านติดกล้อง 3 ตัว ส่องทะลุกลางบ้าน 24 ชม. แบบนี้ก็ได้เหรอคะ?"นกยักษ์จอมพลังแห่งกองทัพอากาศไทย" พร้อมทะยานสู่ท้องฟ้า หนุนภารกิจลำเลียงตอบสนองทุกสถานการณ์ ทุกเวลา ทุกพื้นที่"มาร์กี้" เจอดราม่าสามีบังคับให้สัก !!การเดินทางสู่ Kusinagar, Kushinagar, Kasia - कुशीनगर, उत्तर प्रदेशอิหร่านถอนตัวจากสนธิสัญญาไม่แพร่กระจายอาวุธนิวเคลียร์แล้ว
Hot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด
กัมพูชาจัดเตรียมตำแหน่งงานกว่า 230,000 อัตรา รองรับแรงงานที่เดินทางกลับจากไทย พร้อมตั้งศูนย์จ้างงานเคลื่อนที่บริเวณชายแดนใครคือคู่แท้ ?ยามเช้าของชาวอินเดียหน้าวัดไทย"ฮุน เซน" ประกาศกร้าวกลางสภา หากไทยไม่เปิดด่านวันนี้ พรุ่งนี้กัมพูชาจะปิดชายแดน-แบนสินค้าไทย อิสราเอลเผย เราถล่มเครื่องยิงขีปนาวุธ 1 ใน 3 ของอิหร่านได้แล้วประชุมทวิภาคี "ไทย-กัมพูชา" ไม่มีความหมาย..เขมรจงใจล่มตั้งแต่เริ่ม
กระทู้อื่นๆในบอร์ด ข่าววันนี้
อิสราเอลเผย เราถล่มเครื่องยิงขีปนาวุธ 1 ใน 3 ของอิหร่านได้แล้วอิหร่านถอนตัวจากสนธิสัญญาไม่แพร่กระจายอาวุธนิวเคลียร์แล้วกัมพูชาจัดเตรียมตำแหน่งงานกว่า 230,000 อัตรา รองรับแรงงานที่เดินทางกลับจากไทย พร้อมตั้งศูนย์จ้างงานเคลื่อนที่บริเวณชายแดนพล.ท.นพ รัถนิมาล รอง ผบ.ทบ.กัมพูชา แถลงตอบโต้คำวิจารณ์ ชี้ กัมพูชาเป็นไข่เหล็ก สามารถทุบหินไทยให้แหลกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยได้ง่าย ๆ
ตั้งกระทู้ใหม่
หน้าแรกเว็บบอร์ดหาเพื่อนChatหาเพื่อน LinePic PostตรวจหวยควิซคำนวณPageราคาทองคำ
Postjung
เงื่อนไขการให้บริการ ติดต่อเว็บไซต์ แจ้งปัญหาการใช้งาน แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสม ข่าวประชาสัมพันธ์ ลงโฆษณา
เว็บไซต์นี้ใช้ Cookie
เพื่อประสบการณ์ที่ดีและการใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ดูข้อมูลเพิ่มเติม อ่านนโยบายการใช้งาน
ตกลง