บ้านวินด์เซอร์
ปู จิตกร บุษบา ได้เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับบ้านบ้านวินด์เซอร์ บ้านโบราณที่เป็นประวัติศาสตร์น่าสนใจ ผมจึงนำมาแชร์ให้ได้อ่านกันครับ
บ้านวินด์เซอร์ เป็นบ้านโบราณที่ตกทอดจากตระกูลวินด์เซอร์ เจ้าของบ้านคือ นางสมบุญ วินด์เซอร์ ลูกเจ้าของโรงสีข้าวในย่านคลองบางหลวง ซึ่งสมรสกับ นายหลุยส์ วินด์เซอร์ ลูกชายของ กาเนียร วินด์เซอร์ กัปตันเรือชาวอังกฤษที่เดินเรือค้าขายระหว่างกรุงเทพ-สิงคโปร์-ฮ่องกง-ซัวเถา จนได้รับพระราชทานสัญญาบัตรเป็น "ขุนสมุทรโคจร" จากพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และตั้งรกรากใน "ชุมชนกุฎีจีน" บนที่ดินของโบสถ์ซางตาครู้ส ที่ได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
ตัวบ้านวินด์เซอร์เป็นเรือนขนมปังขิง ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมที่ได้รับความนิยมของยุคนั้น ความสำคัญอยู่ที่ในย่านกุฎีจีนและคลองบางหลวงมีบ้านสไตล์นี้ เหลือรอดผ่านกาลเวลามาเพียงน้อยหลัง อีกทั้งเป็นความโชคดีที่ถูกปิดทิ้งร้างมานานนับสิบปี ทำให้บ้านหลังนี้ไม่ถูกดัดแปลงหรือต่อเติมจนเสียสภาพดั้งเดิม ส่วนด้านลบคือการถูกปล่อยให้ผุพังโดยไม่ได้รับการดูแลรักษา
ถึงวันนี้แม้ผู้เป็นเจ้าของคือ "ครูแอ๊ด" สมสุข จูฑะโยธิน ทายาท สมบุญ-หลุยส์ วินด์เซอร์ ในวัยเกิน 70 ปี จะอยากอนุรักษ์เรือนโบราณให้เป็นมรดกของครอบครัวและชุมชนก็ยังกลายเป็นเรื่องยากจนเกินกำลัง
"ตั้งแต่เด็กไม่ได้อยู่ที่นี่ แต่ก็ไปๆ มาๆ เลยไม่รู้สึกผูกพันกับบ้านหลังนี้สักเท่าไร จนมีคนบอกว่า 'บ้านแบบนี้หาไม่ได้อีกแล้วนะครู' ถึงได้คิด" ครูแอ๊ดเล่าถึงสำนึกอนุรักษ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นในช่วงสิบปี ที่ทำให้แม้ใครจะมาขอซื้อบ้านหลังนี้ ครูแอ๊ดก็ไม่ยอมขาย เพราะกลัวว่าคนที่ซื้อไปจะไม่เห็นคุณค่าของบ้านเก่า
แต่การดูแลบ้านวินด์เซอร์ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับ "ครูแอ๊ด" ไม่ต้องพูดถึงเงินจำนวนมากที่จะต้องใช้เพื่อการซ่อมแซมบ้าน แม้แต่การหาช่างฝีมือดีซึ่งมีความรู้พอที่จะบูรณะบ้านโบราณก็เป็นเรื่องยากด้วยเช่นกัน
สิ่งที่ครูแอ๊ดคิดว่าน่าจะพอเป็นไปได้ คือการขอความช่วยเหลือจากกรมศิลปากร แต่กลับพบอุปสรรค ว่าถ้าต้องการขึ้นทะเบียนอาคารเป็นโบราณสถานเพื่อการอนุรักษ์นั้น ในกรณีที่ทรัพย์สินเป็นของเอกชน ผู้เป็นเจ้าของต้องตกลงยินยอม ปัญหาก็คือ แม้บ้านจะเป็นของครูแอ๊ด แต่ที่ดินเป็นของ "โรมันคาทอลิกมิซซัง" ซึ่งเป็นส่วนการปกครองทางศาสนาที่อยู่เหนือวัดซางตาครู้สขึ้นไปอีก ดังนั้น ถ้าวัดและ "มิซซัง" ไม่สนใจจะอนุรักษ์บ้านเก่า (ซึ่งสภาพก็ดูผุๆ พังๆ จนไม่น่าอนุรักษ์) ก็เป็นอันว่าทำอะไรไม่ได้
..
ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าของที่ดินส่วนใหญ่ก็อยากคงสิทธิของตัวเอง แทนที่จะสร้างเงื่อนไขให้เป็นข้อจำกัด เพราะหากอาคารถูกขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถาน ย่อมหมายถึงอำนาจของกรมศิลปากร ที่จะเข้ามาอนุรักษ์ดูแลตามกฎหมาย ซึ่งที่ผ่านมา ปัญหากรรมสิทธิ์ทับซ้อนเช่นนี้เกิดขึ้นในพื้นที่เมืองเก่าในหลายกรณี และถือเป็นอุปสรรคสำคัญ ในการอนุรักษ์หรือแม้แต่จะฟื้นฟูดูแล ย่านที่อยู่อาศัยให้อยู่ในสภาพที่เหมาะสม
..
"บ้านวินด์เซอร์มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ โบราณคดี และศิลปวัฒนธรรม ตรงตามที่กรมศิลปากรกำหนดทุกประการ ติดตรงกรรมสิทธิ์ และปัญหาเรื่องเงินทุนที่จะมาบูรณะซ่อมแซมบ้าน ครูแอ๊ดเคยไปคุยกับเอกชนที่สนใจการอนุรักษ์ แต่ไม่มีหลักประกันว่าถ้าซ่อมเสร็จแล้วจะกลายเป็นเกสท์เฮ้าส์หรือเปล่า เลยไม่มีใครกล้าลงทุน"
..
อาจารย์ ดร.นิรมล กุลศรีสมบัติ จากคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งจัดทำโครงการแผนที่มรดกทางวัฒนธรรมท้องถิ่นริมน้ำ ให้กับกรรมาธิการอนุรักษ์ศิลปสถาปัตยกรรม สมาคมสถาปนิกสยามฯ ชี้ทางออกว่าอยู่ที่การต้องหาทางนำบ้านขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานให้ได้เสียก่อน
..
โดยทีมงานซึ่งประกอบด้วยคณาจารย์และนักศึกษา พากันลงเก็บข้อมูลทั้งด้านประวัติศาสตร์ โบราณคดี สภาพชีวิตความเป็นอยู่ ตลอดไปจนถึงเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และสุนทรียภาพของชุมชน ไม่ใช่แค่การมองจากสายตาคนนอก แต่ยังดึงคนในชุมชนให้มาร่วมค้นหา "ของดี" ของชุมชนอีกด้วย
..
จากการเก็บข้อมูลพบว่าชุมชนแถบนี้มีการตั้งถิ่นฐานมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา โดยเป็นชุมชนริมน้ำ ก่อนปรับตัวสู่การเป็นชุมชนบกจากการปรากฏตัวของ "ถนน" ส่งผลให้คลองต่างๆ ที่เคยเป็นเส้นทางสัญจรหลักในอดีตลดบทบาทลง กลายเป็นทางน้ำที่ตื้นเขิน และทางระบายน้ำที่เสื่อมโทรมสกปรก
..
ทีมงานนักวิชาการสถาปัตย์ชวนชาวกุฎีจีนตั้งวงระดมความคิดเห็นหลายครั้ง เพื่อร่วมกันกำหนดประเด็นปัญหาและค้นหาศักยภาพของชุมชน จนได้ข้อสรุปสำคัญประการหนึ่งว่า "บ้านวินด์เซอร์" เป็นหนึ่งในสถาปัตยกรรมสำคัญของย่าน ซึ่งกำลังเผชิญสถานการณ์เดียวกับกายภาพอื่นๆ ของชุมชนคือล้วนตั้งอยู่บนพื้นที่ในความดูแลของ "โรมันคาทอลิกมิซซัง" ดังนั้น การจะบูรณะหรือพัฒนาใดๆ กุญแจดอกสำคัญคือ การชักจูงให้เจ้าของพื้นที่เห็นดีงามตามด้วย เริ่มจากเจ้าอาวาสวัดซางตาครู้ส ก่อนจะไปถึงโรมันคาทอลิกมิซซังในระดับที่เหนือขึ้นไป
..
คุณพ่อวิทยา คู่วิรัตน์ เจ้าอาวาสวัดซางตาครู้ส เห็นด้วยและเปิดไฟเขียวเต็มที่
"ดีมาก เพราะไม่ใช่แค่ปรับปรุงบ้าน แต่เป็นการพัฒนาชุมชนให้มีสภาพความเป็นอยู่ที่สะดวกสบายสวยงาม"
..
คุณพ่อวิทยายอมรับว่าที่ผ่านมา แม้ทางวัดกับชุมชนซึ่งส่วนใหญ่เป็นคริสต์ศาสนิกชนจะสัมพันธ์กันด้วยดี แต่ก็ยังมีลักษณะ "ต่างคนต่างอยู่" เช่นเดียวกับคนในชุมชนเองที่ต่างคนต่างทำมาหากิน แต่เมื่อสมาคมสถาปนิกสยามฯ ซึ่งเป็นองค์กรที่มีความรู้ความชำนาญเข้ามาชี้แนะและรวบรวมความคิดเห็นจากชาวชุมชนมานำเสนอแนวทางการพัฒนาอย่างเป็นระบบ ก็ทำให้เห็นภาพร่วมกันถึงทิศทางที่ควรจะไปอย่างเป็นรูปธรรม
..
หลายเรื่องที่ทีมงานนำเสนอ คุณพ่อวิทยาเห็นด้วยและพร้อมจะสนับสนุนทันที เช่น การปรับปรุงลานหน้าโบสถ์ แต่บางเรื่อง โดยเฉพาะการขึ้นทะเบียนโบราณสถานบ้านวินด์เซอร์ต้องเป็นการตัดสินใจของ "โรมันคาทอลิกมิซซัง" ซึ่งเจ้าอาวาสวัดซางตาครู้สเชื่อว่า "ผู้ใหญ่" ก็น่าจะ "say yes"
..
"ในพื้นที่ของ 'โรมันคาทอลิกมิซซัง' มีอาคารโบราณสวยๆ หลายแห่ง ถ้าผู้ใหญ่เห็นด้วยกับแผนของสมาคมฯ ก็อาจใช้เป็นต้นแบบของการอนุรักษ์ ที่เป็นความร่วมมือของหลายฝ่ายต่อไปในอนาคต" เจ้าอาวาสวัดซางตาครู้ส กล่าวทิ้งท้าย.
แหล่งที่มา: https://www.facebook.com/poojidtakorn/photos/pcb.1276472192391243/1276472005724595/?type=3&theater