ทำไมดูเตอร์เต้จงเกลียดจงชังสหรัฐนัก โดย ประพันธ์ สานแสงทอง
นายร้อดริโก้ ดูเตอร์เต้ ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์แถลงเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม (AFP Photo / Pool / Wu Hong)
ช่วงระหว่างวันที่ 25-27 ตุลาคม 2016 นายร้อดริโก้ ดูเตอร์เต้ ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์เยือนประเทศญี่ปุ่นมิตรประเทศที่สนิทแนบชิดกับสหรัฐ หลังจากเยือนจีนมาเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา พร้อมกับประกาศว่าจะ“แยกตัว”จากสหรัฐ โดยไม่ได้สบถด่าใครแล้ว
การเยือนญี่ปุ่นครั้งนี้แม้ว่าญี่ปุ่นจะเคืองเล็กน้อยเพราะไปเยือนจีนก่อน ทั้งๆที่กำหนดการของดูเตอร์เต้จะต้องไปญี่ปุ่นก่อนจีนก็ตาม แต่ญี่ปุ่นจำเป็นจะต้องเก็บฟิลิปปินส์ไว้เช่นกัน จะไม่ผลักฟิลิปปินส์ไกลออกไปจากตัว เพราะญี่ปุนลงทุนในฟิลิปปินส์จำนวนมาก (foreign direct investment) แซงหน้าไทยและเวียดนาม
ปัจจุบันญี่ปุ่นต้องหันการลงทุนจากจีนมาที่ฟิลิปปินส์เพราะค่าแรงงานจีนเพิ่มขึ้น อีกทั้งญี่ปุ่นยังส่งสินค้าออกมายังฟิลิปปินส์จำนวนมากเช่นกัน เป็นที่ทราบกันว่าดูเตอร์เต้ต้องการกู้เงินจากญี่ปุ่นเพื่อนำมาพัฒนาเมืองดาเวา เมืองใหญ่เป็นอันดับสองของฟิลิปปินส์ เป็นบ้านเกิดเมืองนอนของดูเตอร์เต้และเขายังเป็นนายกเทศมนตรีเมืองนี้มากกว่า 20 ปีอีกด้วย
จะเห็นได้ว่าดูเตอร์เต้เดินเกมการเมืองระหว่างประเทศได้ดีทีเดียว แม้ว่าเขาจะมีสไตล์นักเลงโบราณด้วยการด่ากราดคนที่เขาไม่ชอบ โดยเฉพาะสหรัฐนั้นโดนหนักกว่าเพื่อนเช่นเรียกประธานาธิบดีบารัค โอบามา ว่า“ลูก...” พร้อมกับขับไล่ให้ไปลงนรก ด้านนายจอห์น แคร์รี่ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐถูกเรียกว่า“ไอ้บ้า” และนายฟิลิป โกลด์เบิร์ก ทูตสหรัฐประจำฟิลิปปินส์ถูกด่าว่าไอ้เกย์ลูก... เป็นต้น ทราบว่านายโกลด์เบิร์กจะพ้นวาระจากฟิลิปปินส์ในเร็วๆนี้
มาดูเหตุว่าทำไมดูเตอร์เต้ต้องแสดงออกถึงการเกลียดสหรัฐ เรื่องนี้ต้องย้อนไปประวัติศาสตร์ ดังนี้
1.สหรัฐเข้าครอบครองฟิลิปปินส์เป็นเมืองขึ้นระหว่างปีค.ศ.1898-1946 ฟิลิปปินส์ได้รับเอกราชส่วนหนึ่งมาจากการเป็นมิตรร่วมรบกับสหรัฐในสงครามโลกครั้งที่ 2
ในระหว่างที่สหรัฐเข้าครอบครองฟิลิปปินส์นี้ก็เหมือนกับการปกครองทาส ไม่แตกต่างกันเท่าใดนัก ดูเตอร์เต้เคยนำภาพที่ทหารสหรัฐทารุณกรรมชาวมุสลิมในฟิลิปปินส์พร้อมกับฝังศพพวกเขาออกมาแถลงข่าว ถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่สหรัฐกระทำต่อชาวฟิลิปปินส์ เมื่อเกือบ 100 ปีมาแล้ว
2.ดูเตอร์เต้ตอกกลับสหรัฐว่าอย่ามาเลกเชอร์ฟิลิปปินส์เรื่องสิทธิมนุษยชน เพราะสหรัฐก็เคยละเมิดสิทธิมนุษยชนในฟิลิปปินส์มามากแล้ว สาเหตุเพราะดูเตอร์เต้ประกาศล้างกลุ่มค้ายาเสพติดและอาชญากร ทำให้มีผู้เสียชีวิตประมาณ 3,700 คนในห้วง 30 วันที่เขาขึ้นครองตำแหน่ง (สาบานตนรับตำแหน่งเป็นประธานาธิบดีเมื่อ 30 มิถุนายน 2016)
ทำให้หลายประเทศนับตั้งแต่องค์การสหประชาชาติ,สหรัฐและกลุ่มสิทธิมนุษยชนออกมาวิพากษ์วิจารณ์ว่าดูเตอร์เต้ปฏิบัติการสังหารโหด โดยไม่ผ่านกระบวนการยุติธรรมหรือมีการทำวิสามัญฆาตกรรม
ขณะที่ดูเตอร์เต้แย้งว่าเขาจะปล่อยให้คนเหล่านี้มาทำลายคนฟิลิปปินส์ในสังคมและทำลายสังคมฟิลิปปินส์ได้อย่างไร ทำไมต้องไปสนใจกับโครงกระดูกของพวกค้ายาเสพติดและกลุ่มอาชญากรมากนัก
3.ในเรื่องการทหาร ฟิลิปปินส์ประกาศยุติการร่วมซ้อมรบทางทะเลกับสหรัฐในทะเลจีนใต้ โดยกล่าวว่าเกรงใจจีน พร้อมกับจะขับไล่ทหารอเมริกันหน่วยปฏิบัติการพิเศษที่ส่งเข้ามาฝึกทหารฟิลิปปินส์ในเกาะมินดาเนาตั้งแต่ปี 2002 โดยสหรัฐอ้างว่าเพื่อปราบการก่อการร้าย หลังจากเกิดเหตุ 9/11
ดูเตอร์เต้ประกาศว่าเขาไม่ต้องการเครื่องบิน F-16 เพราะไม่ได้เตรียมทำสงครามกับใคร แต่ต้องการเครื่องบินประเภทสามารถปราบปรามกลุ่มค้ายาเสพติดและอาชญากรรมเท่านั้น ดังนั้นจึงโบ้ยให้รัฐมนตรีกลาโหมหันไปพิจารณาซื้ออาวุธจากรัสเซียแทน เพราะยังได้ Soft loan สามารถผ่อนส่งระยะ 20-25 ปีอีกด้วย
4.เมื่อเดินทางไปจีนสัปดาห์ที่แล้วไม่เพียงแต่ประกาศ “แยกตัว”จากสหรัฐเท่านั้น นายดูเตอร์เต้ยังไม่สนใจความช่วยเหลือจาก USAID อีกด้วย และยังขับไล่ไปให้พ้น พร้อมกับเชิญนายสี จิ้น ผิง ประธานาธิบดีจีนเดินทางไปเยือนฟิลิปปินส์ตามแต่จะสะดวก (at a convenient time)โดยสี จิ้น ผิง ก็รับปากไว้เช่นกัน
- เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2016 นายแดเนียล รัสเซล ผู้ช่วยรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯฝ่ายกิจการเอเชียตะวันออกและแปซิฟิกกล่าวในระหว่างการเดินทางเยือนฟิลิปปินส์ว่าคำประกาศของนายดูเตอร์เต้ที่ต้องการแยกตัวจากสหรัฐฯสร้างความหวาดวิตกให้สหรัฐฯและอีกหลายชาติ
นายรัสเซล กล่าวว่าสหรัฐฯเป็นห่วงในเรื่องนี้และแจ้งให้นายเพอร์เฟคโต ยาเซย์ จูเนียร์รัฐมนตรีต่างประเทศฟิลิปปินส์ทราบว่าคำกล่าวของนายดูเตอร์เต้และบรรยากาศแห่งความคลุมเครือในขณะนี้สร้างความหวาดวิตกต่อหลายๆประเทศไม่เพียงแต่สหรัฐฯ เท่านั้น
“แม้สหรัฐฯ จะมีความยินดีที่ฟิลิปปินส์จะสานสัมพันธ์กับจีน แต่สิ่งนี้ไม่ควรเกิดขึ้นโดยก่อให้เกิดผลเสียกับสหรัฐฯ หรือชาติอื่น”นายรัสเซลกล่าว
นายรัสเซลแม้จะเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกระทรวงการต่างประเทศ แต่ก็คง“บ่มิไก๊”เพราะขนาดนายบารัค โอบามาและเจ้าหน้าที่ระดับสูงอื่นๆของสหรัฐยังถูกด่ากระเจิงมาแล้ว นายรัสเซลไม่น่าจะมีน้ำยาอะไร แม้เขาจะบอกว่าไม่เพียงแต่สหรัฐเท่านั้นแต่ยังมีประเทศอื่นๆอีก โดยเขาลืมมองไปว่าดูเตอร์เต้ไม่เคยด่าว่าใครนอกจากสหรัฐ ประเทศอื่นๆก็ไม่มีใคร“ซีเรียส”ยกเว้นสหรัฐประเทศเดียว
ทราบว่านายรัสเซลจะเดินทางมาเยือนประเทศไทยและกัมพูชาอีกด้วย ดังนั้นไทยก็เตรียมรับเขาให้ดีหากมาพูดเรื่องไม่เข้าท่า โดยเฉพาะเรื่องสิทธิมนุษยชน,เรื่องการเลือกตั้งก็ช่วยกันไล่ๆเขาไปด้วยจะได้ไม่ต้องมาซ่าอีก
แดเนียล รัสเซล ผู้ช่วยรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐกิจการเอเชียตะวันออกและแปซิฟิกให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวที่กรุงมะนิลาเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2016 (AP Photo)
-----------------------------------------------------------------------------------------------------
6.การเดินเกมการเมืองระหว่างของประเทศของนายดูเตอร์เต้ครั้งนี้ถือว่าเหนือชั้นเพราะประกาศตัวไปญาติดีกับจีนและรัสเซีย อีกทั้งเดินทางไปสัมพันธ์กับญี่ปุ่นซึ่งเป็นมิตรสนิทของสหรัฐในเอเชียแปซิฟิก ทำให้สหรัฐต้องกุมขมับเพราะสหรัฐต้องการมาปักหมุดเอเชีย (Pivot to Asia) เพื่อต่อต้านอิทธิพลจีนและหมายมั่นปั้นมือที่จะใช้ฟิลิปปินส์เป็นฐานทัพสำคัญหรือ“หลังอิง”ในการกดดันจีน
จีนไม่เกรงกลัวสหรัฐอยู่แล้วหากมีปัญหาในทะเลจีนใต้แม้สหรัฐจะมีกองกำลังมหึมาในมหาสมุทรแปซิฟิก แต่อย่าลืมว่าถิ่นนี้เป็นพื้นที่ (Turf)ของจีน และจีนเองก็มีอาวุธยุทโธปกรณ์ที่จะห้ำหั่นกับสหรัฐได้ อีกทั้งยังมีรัสเซียที่พร้อมจะเข้าข้างจีนอีกด้วย
ดังนั้นสหรัฐจึงคิดหนักเมื่อฟิลิปปินส์ประกาศ“แยกตัว”ใช้คำว่า Separation ไม่ได้ใช้คำว่า “หย่า” (Divorce) แต่เมื่อเป็นเรื่องการเมืองระหว่างประเทศ ก็ไม่น่าจะมีอะไรมากกว่าการที่ฟิลิปปินส์ต้องการดำเนินนโยบายต่างประเทศเป็นตัวของตัวเอง สามารถคบค้าได้กับทุกประเทศอย่างเท่าเทียมและมีศักดิ์ศรี ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องการตัดความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างฟิลิปปินส์และสหรัฐ
7.อีกจุดหนึ่งที่สหรัฐจะใช้เป็นหลังอิงได้ก็คือประเทศไทย โดยเฉพาะอู่ตะเภาที่เคยเป็นฐานทัพสหรัฐมาก่อน แต่ปัจจุบันอู่ตะเภากลายเป็นสนามบินพาณิชย์ เป็นโรงซ่อมบำรุงเครื่องบินของการบินไทย ดังนั้นจึงไม่เหมาะที่จะนำกลับมาใช้ทางทหาร
ที่สำคัญสหรัฐเคยวิพากษ์วิจารณ์ไทยอย่างมากหลังการรัฐประหารของคสช.เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2014 เช่นการประกาศระงับความช่วยเหลือทางทหารมูลค่า 4.7 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 153 ล้านบาท),ลดการฝึกคอบร้าโกลด์ (ทั้งๆที่การฝึกเป็นประโยชน์ของสหรัฐมในภูมิภาคมากกว่าไทย), เรียกร้องให้ไทยจัดการเลือกตั้งโดยเร็วและกลับไปสู่ความเป็นรัฐบาลพลเรือน
การวิจารณ์ว่าไทยละเมิดสิทธิมนุษยชน เพราะคสช.ห้ามการเคลื่อนไหวทางการเมืองในห้วงเวลาที่อยู่ในขั้นตอนของ“โรดแมป” หากเคลื่อนไหวก็จะถูกนำตัวไปเข้ารับการอบรมปรับทัศนคติ แต่คสช.ก็ไม่เคยสังหารใครหรือตั้งศาลเตี้ยพิพากษา ทุกอย่างดำเนินไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ใครที่มีคดีติดตัวอยู่แล้วก็จะถูกดำเนินคดีไปตามขั้นตอน ไม่ใช่เพิ่งมาตั้งข้อหากันในห้วงเวลานี้ โดยเฉพาะนักการเมืองขี้ฉ้อทั้งหลายก็จะได้รับผลทางกฎหมายอย่างแน่นอน
ประเด็นนี้จึงเชื่อว่าสหรัฐอาจจะต้องลดระดับการวิพากษ์วิจารณ์ไทยลงเพราะหากแหลมมาคนไทยก็ออกมาตอบโต้ เช่นเคยตอกนายแดเนียล รัสเซลและเรียกเขาว่า Ugly American ,การประท้วงนายกลิน เดวีส์ เอกอัครราชทูตสหรัฐฯที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์มาตรา 112 ของไทย ซึ่งว่าไปแล้วกฎหมายของแต่ละประเทศที่จะตราออกมาบังคับใช้ ถือเป็นอำนาจอธิปไตยของประเทศนั้นๆที่ประเทศอื่นไม่ควรเข้าไปแทรกแซงกิจการภายใน
ที่กล่าวมาก็คือเหตุผลที่นายดูเตอร์เต้ปฏิเสธสหรัฐไม่ต้องการให้สหรัฐเข้ามาบงการฟิลิปปินส์เหมือนในอดีต แต่เชื่อว่าความสัมพันธ์ต่างๆของ 2 ประเทศจะดำเนินต่อไปเพียงแต่ว่าจะไม่ราบรื่นเหมือนเช่นที่สหรัฐคาดหวัง
ดูเตอร์เต้ไม่ถ่อมตัวอีกต่อไป ดังนั้นฟิลิปปินส์จึงไม่ถูกถีบ เหมือนคำพูดที่ว่า “ยิ่งถ่อม ยิ่งถูกถีบ”