นักคิดวางแผนการตลาดให้ชาวนาขายข้าวถุงเองยี่ห้อ“ชาวนา...รวย 24 ชั่วโมง”ตันละ 1.4-1.8 หมื่นบาท

ที่ชุมชนบ้านโนนแดงหมู่14โคราช ได้สีข้าวเหนียวใหม่เป็นข้าวเบา เก็บเกี่ยวเร็ว เมล็ดสวย ขาว นุ่ม หอม ตอนนี้ขายในชุมชนดีมาก ผลิตเองขายเอง

นักคิดวางแผนการตลาดช่วยชาวนาขายข้าวถุงของตัวเองทั่วประเทศยี่ห้อ“ชาวนา...รวย 24 ชั่วโมง”ต้องร่วมมือกันทั้งผู้ใหญ่บ้าน กำนัน อบต.และวัดช่วงทอดกฐินผ้าป่าเริ่มจากพฤศจิกายนถึงพฤษภาคม 2560 พ่อค้าคนกลางต้องร้องจ๊ากเพราะไม่มีข้าวส่งตามออเดอร์ คาดชาวนาขายได้ตันละ 14,000-18,000 บาท

เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2559 เฟซบุ๊กของ กาย ไพรินทร์ ซึ่งทำงานอยู่บริษัท IN TV ออกประกาศร่วมแก้ปัญหาราคาข้าวของชาวนาระบุว่า“กลไกการขายข้าวถุงชาวนาแบบเร่งด่วน 10,000 ล้านบาท” โดยระบุว่า กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน..ระดมทัพครั้งใหญ่ แผนการขายข้าวถุงชาวนา..ทั่วประเทศ “เริ่มแล้ว” เรามากำหนดกลไกการตลาดไปพร้อมๆกันเลย

ตั้งแต่เดือนนี้จนถึงพฤษภาคม 2560 จะมีงาน“กฐิน ผ้าป่า”เกือบทุกหมู่บ้าน ลูกค้ามาหาเราถึงถิ่นแล้ว..ขอให้แต่ละครอบครัวในตำบลนั้นๆ (ที่เข้าร่วมโครงการชาวนา..รวย 24 ชั่วโมง) สีข้าวสารมารวมกันหมู่บ้านละ 20 กระสอบ 1 ตำบลมี 10 หมู่บ้าน เท่ากับ 200 กระสอบ บรรจุใส่ถุง 5 กิโล จะได้ 4,000 ถุง ขายถุงละ 125-145 บาทคิดเป็นเงิน  500,000 – 580,000 บาท จากนั้นให้นำเงินจำนวนนี้ไปแบ่งปันกันอย่างเท่าเทียมกัน (ผู้นำท้องถิ่นทำงานรับใช้ชาวบ้าน “ฟรี” ไปก่อน)

ขณะเดียวกัน ผมขอวอนผู้ที่ไปร่วมงานทำบุญกฐิน ผ่าป่าทุกท่านเลย ไม่ต้องเอาข้าวจากบ้านที่พ่อแม่ตัวเองสีให้ แต่ให้ทุกคน“ซื้อข้าวถุง”ที่เข้าร่วมโครงการ (วางขายในวัด)นี่แหละ กลับมากินที่กรุงเทพฯใส่รถมาคนละ 4-5 ถุง ถ้ามีเงินเยอะหน่อยก็อาจ 10-20 ถุง

ส่วนเถ้าแก่ อาเฮีย อาซิ้ม อาซ้อ นายหัว แม่เลี้ยง ในฐานะเป็นประธานและรองประธาน ผ้าป่า และกฐิน งานหนึ่งมีประมาณ 20-50 คน หลังทำบุญกับพระเสร็จแล้ว ก็ช่วยอุดหนุน“ข้าวชาวนา”ที่วางขายในวัดด้วย โดยซื้อข้าวติดไม้ติดมือกลับบ้านคนละ 50-100 ถุง เพื่อมาแจกจ่ายญาติมิตร และพนักงานในบริษัทของตัวเอง

“ถ้าตำบลหนึ่งมีงานกฐินผ้าป่ารวมกันสัก 7 งาน ก็จะมีรายได้รวม 3,500,000 – 4,060,000 บาทนี่คือการขายข้าวได้เงินสดๆในตำบลนั้นทันที เพราะผมมีแผนการขายที่จะใช้ชาวนาสร้างยอดขายปีละ 30,000-40,000 ล้านบาท เอาไปแบ่งกัน”กาย ไพรินทร์ กล่าว

ขายข้าวงานกฐิน 8.7 พันล้านถึง 1 หมื่นล้านบาท

กาย ไพรินทร์ ชี้ว่า ประเทศไทยมีกว่า 7,000 ตำบล อาจมีจัดงานกฐิน-ผ้าป่าไม่น่าต่ำกว่า 2,500 ตำบล เฉลี่ยตำบลละ 7 งานเท่ากับ 21,000 งาน ก็จะมีเงินหมุนเวียนในการขายข้าวถุงในงานบุญกุศล 8,700-10,150 ล้านบาท (ขอร้องอย่าต่างคนต่างทำต้องร่วมกันเป็นหนึ่งเดียวได้เสียเท่ากัน)

ทั้งนี้เป็นการการตลาดเฉพาะหน้าก่อนเพื่อได้เงินมาหมุนเวียนบ้าง แต่ที่แน่ๆชาวนายังเหลือข้าวเปลือกอยู่อีกจำนวนมาก เก็บไว้ขายช่องทางอื่นๆต่อไป โดยตนก็จะคิดวางแผนการขายในรูปแบบต่างๆออกมาเป็นระยะๆ ขอให้“ผู้นำท้องถิ่น”ได้ทำงานและชาวบ้านผนึกกำลังกัน เพื่อสร้างความแข็งแกร่งถือเป็นอุ่นเครื่องรองานใหญ่ระดับชาติที่จะเกิดขึ้นในโอกาสต่อไป จนกว่าชาวนาจะ “รวย24ชั่วโมง”...ไม่ใช่ “จน24ชั่วโมง” เหมือนที่ผ่านมา ลองเอาไปวางแผนหารือกันดู

คนสนใจแห่กันเข้าไปสนับสนุนตรึม

ภายหลังจากนั้นไม่นาน กาย ไพรินทร์ ก็โพสต์ขึ้นมาว่า “โทษนะครับที่ inbox เข้ามากว่า 4,000 คน ตอบไม่ทันหน้ามืดตาลายหมดแล้ว ขอเวลาตั้งสติหน่อย...ขอบคุณแทนชาวนาจริงๆครับที่ประชาชนตื่นตัวมากอยากช่วยซื้อข้าวชาวนา ทั้งปลีก ร้านค้าหลายพันคนสั่งซื้อมาที่ผม ผมไม่มีข้าวครับแค่คิดแผนการตลาดให้ชาวนาเฉยๆ ครับ ตอนนี้ผมเหลือข้าวที่ซื้อมาจากบ้านนอกแค่ 2 ถุงปุ๋ยเอง ตั้งตัวไม่ทันครับไม่คิดว่าพี่น้องจะเป็นห่วงและรักชาวนาขนาดนี้...น้ำตาจะไหล ตื้นตันใจแทนครับ แต่ระวังพวกแอบแฝงหาประโยชน์ด้วยนะครับ”

ตัวแทนการตลาดหมู่บ้านละ 3-4 คน

กาย ไพรินทร์ เสนอแนะอีกว่า ขอให้ทุกหมู่บ้าน ตำบล ตั้งทีมการขายการตลาดขึ้นมาเป็นตัวแทนหมู่บ้านละ 3-4 คน นัดรวมพลกัน 3-4 จังหวัดใกล้เคียงกันต่อ 1 จุดนัดหมาย เพื่อสัมมนา ค่าใช้จ่ายสถานที่จัดงาน ก็ใช้งบ อบต.หมู่บ้านละ 2,000 บาทรวมกันให้ได้ 300-500 หมู่บ้าน ก็น่าจะพอจัดงานค่าสถานที่ ค่าเดินทาง

“ผมจะไปพูดอธิบายให้เห็นเส้นทางการตลาด การขาย การสร้างรายได้ ว่ามันจะเดินไปในมิติใดบ้าง แบบชั่วลูกชั่วหลานชาวนาก็ไม่จนอีกต่อไป..."ฟรีครับ" ไม่ว่าจะค่าที่พัก ค่ากิน (อาศัยวัดได้) ค่าน้ำมันรถ หรือตั๋วเครื่องบินผมจ่ายให้ตัวเองหมดครับ ไม่ต้องเดือดร้อนใครเลย กลุ่มไหนพร้อมแจ้งมาเลยครับอย่าช้า รุกรบเร็วก่อนได้เปรียบ...ผมอธิบายไม่เกิน 30 นาที สอบถามเพิ่มเติมอีก 20-25 นาทีก็ทะลุหมดครับ ไม่สลับซับซ้อนอะไร เพียงแต่คิดกันไม่ออกเท่านั้นเอง เหมือนขนตาที่เรามองไม่เห็น” กาย ไพรินทร์กล่าว

พร้อมกันนี้ กาย ไพรินทร์ เขียนไว้ว่า ที่จริงอบต.ยอมจัดงบหมู่บ้านละ 500 บาท สมมติ 50,000 หมู่บ้าน ก็เป็นเงิน 25 ล้านบาท เอาไปพิมพ์ถุงยี่ห้อข้าวตรา "ชาวนา...รวย24ชั่วโมง" แบรนด์เดียวกันทั้งประเทศ

จากนั้นให้นำถุงข้าวยี่ห้อเดียวกันนี้กระจายคืนไปให้แต่ละหมู่บ้านบรรจุข้าวสารยี่ห้อเดียวกันทั้งประเทศขายถุงละ 85-95 หรือ 120 บาท ถ้าต่างคนต่างทำยี่ห้อของตัวเอง การทำตลาดให้เติบโตยาก และจะขาดความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ใช้ยี่ห้อเดียวกันจะทำให้การโปรโมทง่าย

“เดี๋ยวจะช่วยหาดาราดังมาเป็นพรีเซนเตอร์โฆษณาข้าวให้ ถ้าร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันได้จะทำให้ชาวนายึดตลาดข้าวถุงที่พ่อค้าคนกลางครองอยู่กลับมาเป็นของ "ชาวนา" ในทันที ผมยินดีเป็นตัวกลางหรือเป็นเซ็นเตอร์ประสานงานให้ครับ แจ้งมาได้เลยแต่ต้องเป็นกลุ่มๆนะครับ ไม่คิดเงิน...นี่คือ การทำบุญครั้งใหญ่ ที่เราได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ช่วยกันคนละไม้คนละมือ” กาย ไพรินทร์ ประกาศ

สมาคมชาวนาต้องเป็นแกนนำ

กาย ไพรินทร์ เขียนเพิ่มเติมว่า ชาวนาต้องพลิกโฉมการตลาดครั้งใหญ่ "สมาคมชาวนา" ต้องเป็นแกนนำ ด้วยการนัดรวมพลครั้งประวัติศาสตร์ของโลก บรรทุกข้าวสารถุงใส่รถอีแต๋นและปิ๊กอัพสัก 20,000-30,000 คัน ขึ้นป้ายแจ้งราคาตัวใหญ่ๆ ขับเป็นคอนวอยกลุ่มละ 200 คัน เดินสายกระจายขายทั่วประเทศทุกถนน ถุงละ 85-95 บาท (โลละ 16-19 บาท หักค่าน้ำมันรถแล้วยังพอเหลือกำไรกว่า 500 คนแอบถามหลังไมค์บอกว่ขายถุงละ120 บาท ได้ไหมจัดไปเลยขอเพียงให้ถูกกว่าตลาด 25-30% ก็แล้วกัน)

“ทำแบบนี้สัก 6 เดือน หรือ 1 ปี ห้ามชาวนาทุกคนขายข้าวเปลือกให้พ่อค้าคนกลางเด็ดขาด ถ้าใครอยากขายทนไม่ไหวจริง ก็แบ่งขายไปได้เลย แต่ต้องตันละ 14,000-18,000 บาทเท่านั้น (ไม่ซื้อก็ตามใจ ขายข้าวถุง ประทังชีวิตไปเรื่อยๆ ปีหน้าลดการเพาะปลูกลง)”กาย ไพรินทร์ ระบุ

นอกจากนี้ที่สำคัญทุกตำบลหมู่บ้านต้องตั้งทีมการตลาดขึ้นมาหมู่บ้านละ 4-5 คน ตนพร้อมวางยุทธศาสตร์การขายและการตลาดให้ 2-3 ชั้นรับรองโลกตะลึง นายทุนที่ขายออเดอร์ล่วงหน้าเจ๊งทันที เพราะไม่มีของส่ง เนื่องจากขี้เหนียวไม่ยอมซื้อข้าวชาวนาที่กำหนดราคาเองตันละ 14,000-18,000 บาท ก็จะถูกคู่ค้าปรับ แผนนี้เป็นอย่างไร ชาวนาพอจะมองเห็นช่องทางบ้างไหม

ถ้าสมาคมชาวนาและกลุ่มสหกรณ์ชาวนาร้านค้าทั้งประเทศสนใจแผนนี้ ตนพร้อมวางโมเดล และยุทธศาสตร์ให้ฟรี บาทเดียวก็ไม่คิดเงินและไม่สงวนลิขสิทธิ์ใครพร้อมนำไปดัดแปลงให้เหมาะกับกลุ่มตัวเองใช้ได้เลย ต่อไปนี้ชาวนาต้อง"รวย24ชั่วโมง"ไม่ใช่ "จน24ชั่วโมง"

ต้องขอมุมวัดทำเป็นโชว์รูมวางขาย

กาย ไพรินทร์ เขียนก่อนหน้านั้นเมื่อวันที่ 28 ตุลาคมว่า“กราบนมัสการ หลวงพ่อ หลวงพี่ หลวงลุง เจ้าอาวาสทุกวัด(ที่อยู่ในอำเภอ จังหวัด) ทั่วประเทศ ซึ่งมีอยู่หลายหมื่นวัดด้วยกัน ถึงเวลาแล้วครับ...พวกเราชาวนา นำโดยผู้นำท้องถิ่น จำเป็นต้องขอความ"เมตตา"จากพระท่าน เพื่อใช้พื้นที่ใต้ถุนศาลามุมว่างๆ ไว้ทำเป็นจุด "โชว์รูม" วางโชว์ขายข้าวถุงชาวนา นี่คือ ยุคที่ "พระและฆราวาส"จะต้องผนึกกำลังกันครั้งใหญ่

ในตอนสงครามบางระจัน หรือสมเด็จพระนเรศวร สมัยนั้นพระยังมีส่วนช่วยในสงครามครั้งนั้นเลย แต่นี่คือสงคราม"ปากท้องประชาชน" เนื่องจากชาวบ้านพากันอดอยากปากแห้งไร้คนเหลียวแล แถมยังเป็นหนี้มายาวนาน ที่แน่ๆคนที่ไปทำบุญที่วัดกันจริงๆ กว่า 80 % คือชาวบ้าน ถ้าพวกเราขอพื้นที่สักมุมหนึ่งเป็นจุดขายข้าวถุง

“หลวงพ่อหรือเจ้าอาวาสคงจะไม่ใจดำหรอกผมว่า ในแต่ละเดือน 1 ครอบครัว แค่ซื้อข้าวคนละ 1-2 ถุง (5กิโล) เราก็จะขายข้าวได้ เดือนละไม่ต่ำกว่า 20-30 ล้านถุง ทำตลาดด้วยวิธีนี้ชาวนาพอมีกำไรใช้หนี้ มีเงินเหลือ และยังจะมีเงินมาร่วมทำบุญสร้างโบสถ์วิหารสืบสานพุทธศาสนากันต่อไป เมื่อการแข่งขันทางโลก และทางธรรมมันเปลี่ยนไป "ศาสนา-ฆราวาส" ต้องผนึกกำลังเป็นหนึ่งเดียว เพื่อฝ่าวิกฤติไปพร้อมๆกันครับ” (รูปประกอบแค่ตัวอย่างเท่านั้น)

กรุณาแชร์ให้ถึงชาวนา