“ทรงมีพระเมตตาเหมือนพ่อเมตตาลูก” ความประทับใจมิรู้ลืม อดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี น้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ ในฐานะที่เคยดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และได้ถวายงานสนองพระเดชพระคุณ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เผยครั้งแรก
วันที่ 13 ตุลาคม 2559 นาทีที่มีประกาศแถลงการณ์จากสำนักพระราชวังว่าพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร เสด็จสวรรคตที่โรงพยาบาลศิริราช เป็นช่วงเวลาที่หัวใจชาวไทยเจ็บปวดและเศร้าโศกกับความสูญเสียครั้งใหญ่ของประเทศไทย
ดิฉันรู้สึกซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ ที่ได้รับโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในวันที่ 5 สิงหาคม 2554 ทำให้ดิฉันมีโอกาสได้เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทหลายครั้ง เพราะรัฐบาลดิฉันเข้ามาบริหารประเทศในช่วงที่ประเทศไทยประสบกับมหาอุทกภัย ทำให้เห็นว่าพระองค์ทรงห่วงใยราษฎรของพระองค์เป็นอย่างมาก ทรงหาแนวทางดูแลพสกนิกรของพระองค์ทั้งในเรื่องของภัยแล้งและอุทกภัย ทรงห่วงใยพสกนิกรตลอดเวลา และด้วยพระปรีชาสามารถและสายพระเนตรที่กว้างไกลในการวางแผนบริหารจัดการน้ำผ่านโครงการพระราชดำริต่างๆ เช่น โครงการระบบกักเก็บน้ำฯ โครงการฝนหลวง โครงการฝายชะลอน้ำ และโครงการแก้มลิง เป็นต้น ทำให้คนไทยมีน้ำใช้เพื่อการเกษตรและบริโภค
ครั้งหนึ่งพระองค์ได้ทรงมีพระบรมราชานุญาตให้ผันน้ำเหนือจากแม่น้ำเจ้าพระยาเข้ามาในทุ่งมะขามหย่องเพื่อป้องกันน้ำท่วม และในปีถัดมาได้เสด็จฯมาทรงเกี่ยวข้าวที่แปลงนาชาวบ้านที่ “ทุ่งมะขามหย่อง” หรือที่เรียกว่า “ผืนแผ่นดินแห่งพระมหากรุณาธิคุณ” สร้างความปลื้มปีติแก่พสกนิกรเป็นอย่างมาก และในที่สุดแปลงนานี้ก็ได้กลับมาเป็นแปลงนาส่วนพระองค์เพื่อทำแปลงนาสาธิต มอบพันธุ์ข้าวคุณภาพให้กับเกษตรกรต่อไป
สิ่งที่ประทับอยู่ในใจของดิฉันอย่างไม่มีวันลืมเลือนคือการได้มีโอกาสถวายงานในการเสด็จออกมหาสมาคมถึง 3 ครั้ง ครั้งแรกในวันที่ 5 ธันวาคม 2554 พระองค์ท่านได้เสด็จพระราชดำเนินออกมหาสมาคม ณ มุขเด็จ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ถัดมาในวันที่ 5 ธันวาคม 2555 พระองค์ท่านเสด็จออกมหาสมาคม ณ สีหบัญชร พระที่นั่งอนันตสมาคม ในวันนั้นมีคลื่นมหาชนจำนวนมหาศาลมารอเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทล้นจากบริเวณลานหน้าพระราชวังดุสิต เลยไปจนถึงถนนราชดำเนิน พร้อมกับประชาชนที่รวมตัวกันที่ศาลากลางของทุกจังหวัด เพื่อที่จะร่วมกันชื่นชมพระบารมี และเปล่งเสียงคำว่า “ทรงพระเจริญ”
เสียงยังคงดังกึกก้องอยู่ในหัวใจของดิฉันนับแต่วันนั้นมาจนถึงวันนี้
และครั้งที่สาม วันที่ 5 ธันวาคม 2556 ที่พระองค์ท่านเสด็จออกมหาสมาคม ณ ท้องพระโรง ศาลาราชประชาสมาคม อาคารอเนกประสงค์เดิมวังไกลกังวล อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ เป็นครั้งแรกที่พสกนิกรชาวไทยหลั่งไหลมาจากทั่วทุกสารทิศเพื่อรอเฝ้าฯรับเสด็จชื่นชมพระบารมี และพร้อมใจกันแสดงความจงรักภักดีตลอดสองข้างทางตั้งแต่กรุงเทพฯไปจนถึงหัวหิน แม้ว่าในช่วงนั้นจะมีปัญหาความเห็นต่างทางความคิด แต่การที่พสกนิกรได้เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ทำให้ภาพความเห็นต่างในเวลานั้นมลายหายไปราวกับปาฏิหาริย์ นับเป็นที่ประจักษ์ชัดถึงความเป็นศูนย์รวมดวงใจของพสกนิกรชาวไทยอย่างแท้จริง
ตลอด 70 ปีแห่งการครองราชย์ ไพร่ฟ้าอาณาประชาราษฎร์ล้วนได้รับพระมหากรุณาธิคุณอย่างทั่วถึง เพราะไม่ว่าพระองค์เสด็จฯไปที่ใด ทรงมีพระประสงค์เดียวคือการทำให้ราษฎรไทยมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ทรงห่วงใยใกล้ชิดกับราษฎร ทรงงานหนักเยี่ยมเยียนราษฎรในถิ่นชนบททุรกันดาร เพื่อจะได้รับทราบปัญหาและความต้องการของราษฎรด้วยสายพระเนตรพระกรรณของพระองค์เอง รวมถึงพระราชทานแนวทางแก้ปัญหาที่เปี่ยมด้วยพระปรีชาสามารถให้แก่หน่วยงานที่รับผิดชอบ
ทุกครั้งเมื่อดิฉันได้ลงพื้นที่ในต่างจังหวัด จะเห็นความสำเร็จของศูนย์การศึกษาพัฒนาอันเนื่องมาจากโครงการพระราชดําริ ซึ่งเป็นศูนย์รวมองค์ความรู้ ให้ชาวบ้านเข้ามาเรียนรู้ ฝึกอบรม และนำไปปรับใช้ในการประกอบอาชีพได้อย่างยั่งยืน เช่น เรื่องการปลูกป่า การฟื้นฟูป่าชายเลน และอนุรักษ์หญ้าทะเล เป็นต้น
หรือแม้แต่การสร้างความสมานฉันท์ของคนในชาติอย่างแนวพระบรมราโชวาท เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา ที่คนไทยน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมนำไปปฏิบัติ เพื่อนำมาซึ่งสันติสุขของประเทศ รวมถึงหลักการประชาธิปไตยที่พระองค์ท่านทรงยึดถือมาโดยตลอด
ดิฉันโชคดี ที่ได้เกิดมาเป็นคนไทยในแผ่นดินของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ท่านทรงงานหนักอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเพื่อราษฎรของพระองค์ ทรงมีพระเมตตาเหมือนพ่อเมตตาลูก ถือเป็นเกียรติต่อวงศ์ตระกูลอย่างหาที่สุดมิได้ที่ดิฉันได้มีโอกาสรับใช้ใต้เบื้องพระยุคลบาทอย่างใกล้ชิด พระองค์จะสถิตอยู่ในใจของข้าพระพุทธเจ้าตราบสิ้นลมหายใจ ด้วยความจงรักภักดี ขอน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้