ฟังอีกมุม…ชัยวัฒน์ สุรวิชัย เปิดประเด็นเดือด 6 ตุลาฯ19 พวก”แกนนำซ้ายจัด” ต้องรับผิดชอบด้วย
อย่าเขียนประวัติศาสตร์ด้านเดียว ! ชัยวัฒน์ สุรวิชัย เปิดประเด็น ชำระประวัติศาสตร์ 6ตุลาฯ 19 อัดดีตแกนนำนศ.อย่าชี้นิ้วด่าแต่รัฐ ต้องสรุปความผิดพลาดของตัวเองด้วย โดยเฉพาะพวกซ้ายจัด แฉมีคนเตือนให้เลือกชุมนุม เพื่อหลีกเลี่ยงการโดนปราบ แต่พวกซ้ายจัดไม่ยอมฟัง
7ตุลาคม 2559 เหตุการณ์ 6 ตุลาคม2519 เป็นเหตุการณ์ ประวัติศาสตร์ที่ถือเป็นบาดแผลของสังคมไทยตลอดมา อย่างไรก็ตามข้อมูลเหตุการณ์ดังกล่าว จากคำบอกเล่าของผู้อยู่ในเหตุการณ์ ส่วนใหญ่จะเป็นมุมของการถูกกระทำของจากอำนาจรัฐ ที่ใช้ความรุนแรง อย่างโหดร้าย ป่าเถื่อน ต่อนศ.และประชาชนที่ชุมนุมกันอยู่ในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แต่ล่าสุด ชัยวัฒน์ สุรวิชัย อดีตแกนนำนศ.ยุค 14 ตุลาคม16 ออกมาให้มุมมองเกี่ยวกับเหตุการณ์ 6ตุลาคม2519 ที่แตกต่างออกไปได้อย่างน่าสนใจ ผ่านเฟซบุ๊ก Chaiwat Suravichai
โดยเขาได้ เรียกร้องให้มีการ สรุปบทเรียนข้อผิดพลาดของขบวนกานักศึกษา ประชาชน ในเหตุการณ์ดังกล่าวด้วย ไม่ใช่ชี้นิ้วไปที่ฝ่ายรัฐแต่เพียงอย่างเดียว พร้อมทั้ง ระบุถึงแกนนำนศ.ที่มีแนวคิดซ้ายจัดในยุคนั้น ควรจะมีส่วนรับผิดชอบเหตุการณ์ดังกล่าวด้วย เพราะหลายฝ่ายเคยเสนอให้มีการยกเลิกการชุมนุม เพราะจะไปสร้างเงื่อนไขให้มีการปราบปราม “แต่แกนนำ นศ.ซ้ายจัดในวันนั้นไม่ยอมฟัง”
ซึ่งรายละเอียดจากโพสต์ดังกล่าวมีดังต่อไปนี้
“ ความจริง 6 ตุลา 19 พุดไม่หมด มิใช่เฉพาะภาครัฐ แต่ด้านแกนนำซ้ายจัด ที่มีความคิดอคติ ด้วย
ผมไปร่วมงาน ครบรอบ 40 ปี 6 ตุลา 19 ที่ธรรมศาสตร์แต่เช้า ก่อนใครๆ จึงได้เห็นได้พุดคุยกับคนมากมาย
ผมไปรำลึกถึงประวัติศาสตร์ ที่รัฐยุคนั้น โหดเหี้ยม ใช้ตำรวจตระเวรชายแดน นวพลกระทิงแดง วิทยุยานเกราะ
ใช้อาวุธความคลั่งแค้น กระทำต่อนักศึกษาและประชาชนที่รักชาติรักประชาธิปไตยที่ชุมนุมในธรรมศาสตร์
โดยเฉพาะ การเผาผู้ชุมนุมและจับไปแขวนคอที่ต้นมะขามสนามหลวง กลางเมืองพุทธศาสนา …………….
ผู้เป็นวิทยากรซึ่งเป็นอดีตแกนนำนักศึกษาในวันนั้น เรียกร้องต่อรัฐบาล ให้เปิดเผยความจริงทั้งหมด
และความจริง จะต้องมีการนำผู้นำฯที่เข็นฆ่านักศึกษาประชาชนมาลงโทษ และมีการชดใช้ค่าเสียหายด้วย
แต่อีกด้านหนึ่ง ที่เป็นบทเรียนที่สำคัญ ที่จะทำให้กระบวนการนักศึกษาประชาชน ก้าวหน้าต่อไปได้
ต้องมีการสรุปด้านผิดพลาดของตนเองด้วย มิใช่ใช้นิ้วชี้กล่าวถึงความผิดของผู้กระทำต่อประชาชนเท่านั้น
แต่ “ ต้องลดทิฐิและกรอบความคิดชี้นำ “ ให้รัฐปราบ แล้วประชาชนจะลุกขึ้นสู้ “ ซึ่งเป็นความคิดซ้ายจัด
“ยุค ศรีอารยะ” และผู้รักชาติรักประชาธิปไตยที่แท้จริง ได้ร่วมกันคัดค้าน “ ให้ยุติการชุมนุม “
เพราะจะเป็นเงื่อนไขให้ฝ่ายขวาจัด ปราบปรามประชาชน
ซึ่งทุกฝ่ายวิเคราะห์และเห็นร่วมกันว่า “ จะมีการปราบปรามแน่ “
แต่แกนนำซ้ายจัด ที่บางคนมาเป็นวิทยากรวันนี้ และบางส่วนก็ไปรับใช้ทุนสามานย์ กลับไม่ยอม
แม้แต่ ดร.ป๋วย ออกมาห้ามมาเตือนให้ยุติการชุมนุม ก็กล่าวหาดร.ป๋วยว่า “ เป็นพวกไม่สู้จริง “
@ เพื่อนมิตรและน้องๆที่ไปร่วมงานนี้ มีหลากสีหลายฝ่าย ที่ไปด้วยเจตนาที่ดี ไปรำลึกถึงวีรชนที่ได้เสียสละไป
บางคนที่รู้เรื่องดี ได้แสดงความรู้สึกว่า “ ผู้พูดหลายคนในงาน พูดด้านเดียว และไม่พูดความจริงทั้งหมด “
โดยเฉพาะกล่าวถึง แกนนำในยุคนั้นที่เป็นครูบาอาจารย์ “ สอนความเชื่อ ไม่ใช่ความจริงต่อนักศึกษา “
@ มีผู้อาวุโสที่เป็นนักต่อสู้ วัย 90 ได้กล่าวกับผม ในการยืนพูดคุยกันที่หน้าสวนประติมากรรม ในช่วงเช้า
“ แสดงความเสียใจ ที่ไม่ได้ทำหน้าที่ สร้างผู้รับช่วง มาสืบทอดเจตนารมณ์สร้างประชาธิปไตยให้สมบูรณ์
และได้กล่าวถึงความผิดพลาดของผู้นำซ้ายจัดว่า “ มีความคิดเอกชน และไม่สรุปบทเรียนตามความเป็นจริง”
ทำให้ทำผิดซ้ำแล้วซ้ำอีก ไม่พัฒนาก้าวหน้า จึงทำให้พลังของประชาชน ไม่เข้มแข็ง “
ผมทักทายน้องๆทุกฝ่ายทุกสี แม้แต่หมอมิ้ง นพ.พรหมมินทร์ ดร.ธงชัย วินิจกุล ดร.สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ ฯ
แต่บางคนที่คุ้นเคยกันมา กลับไม่ทักตอบ แถมแสดงสีหน้าเย็นช้า ผมก็ไม่ว่าอะไร เป็นการกระทำของเขาเอง
@ คนหนึ่งที่มีปฏิกิริยาเช่นนี้ เคยประกาศว่า “ ผมยอมตายแทนทักษิณได้ เพราะมีบุญคุณต่อผม “
อย่าให้ผมต้องเอ่ยชื่อเลย ไม่มีคุณค่าพอ และตอนนี้ก็ไปรับใช้พรรคทุนสามานย์เต็มตัวกันหลายคน.
ผู้นำเหล่านี้ รอดตายมาได้ตลอด ขณะที่ประชาชนคนเล็กคนน้อยต้องเสียสละ เป็นทุกข์และลำบาง
แต่เขากลับมีฐานะมั่งคั่ง มีตำแหน่งสูง มีบริวารเดินห้อมล้อม และยังอยู่ได้ดีในสังคมน้ำเน่าของไทย.
@ ทุกฝ่าย รัฐ นักการเมือง ทหาร ตำรวจ ข้าราชการ เอกชน นักวิชาการอาจารย์ Ngo นักสิทธิ และสื่อ
ต้องปรับตัว “ คิดและทำเพื่อส่วนรวม “ พูดความจริงให้หมด อย่าโหก หลอกลวงประชาชน “
มาร่วมงานรำลึกวีรชนประชาธิปไตย ต้องสรุปบทเรียน สานต่อเจตนาประชิปไตยให้สมบูรณ์ .