ครม.อนุมัติปรับ ‘ขึ้นเงินเดือนรัฐวิสาหกิจ’ โดยจะย้อนหลังให้ 2 ปีตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค. 57
ครม.เห็นชอบปรับขึ้นเงินเดือนลูกจ้างรัฐวิสาหกิจที่มีเงินเดือนต่ำกว่า 43,890 กว่า 1.9 แสนคน ย้อนหลัง 1 ธันวาคม 2557
นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) เห็นชอบการปรับค่าจ้างของลูกจ้างรัฐวิสาหกิจ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ซึ่งเป็นไปตามมติคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เมื่อวันที่ 30 ก.ย.ที่ผ่านมา โดยให้ปรับอัตราค่าจ้างสำหรับลูกจ้างที่มีเงินเดือนไม่เกิน 43,890 บาท ขึ้นไม่เกิน 2% หรือแบบขั้นไม่เกิน 0.5 ขั้น โดยให้มีผลย้อนหลังไปตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค.2557 ซึ่งจำนวนลูกจ้างรัฐวิสาหกิจทั้ง 64 แห่ง มีจำนวนรวมกันประมาณ 295,009 ราย ในส่วนนี้เป็นผู้ที่มีเงินเดือนต่ำกว่า 43,890 บาทจำนวน 190,000 ราย ทั้งนี้เพื่อให้สอดคล้องกับการปรับเงินเดือนของข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ได้รับการอนุมัติปรับขึ้นเงินเดือนไปตั้งแต่เดือนธ.ค.2557 และเป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลในการช่วยเหลือบุคลากรภาครัฐชั้นผู้น้อยให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่ ครม.เคยอนุมัติขึ้นเงินเดือนข้าราชการ 4%
อย่างไรก็ตามการปรับอัตราค่าจ้างสำหรับลูกจ้างมีผลย้อนหลังเป็นแบบสมัครใจไม่ใช่บังคับ ขึ้นอยู่กับการพิจารณาความเหมาะสมของบอร์ดรัฐวิสาหกิจแต่ละแห่ง เพราะจะต้องคำนึงถึงฐานะการเงินของตนเอง โดยเฉพาะรัฐวิสาหกิจที่ขาดทุน และรัฐวิสาหกิจต้องพึ่งเงินงบประมาณจากรัฐบาล หากฐานะทางการเงินไม่ดีพอ ก็ไม่จำเป็นต้องมีผลย้อนหลัง ซึ่งกระทรวงแรงงานจะมีหนังสือไปยังรัฐวิสาหกิจทั้ง 64 แห่ง เพื่อแจ้งมติคณะรัฐมนตรีให้ทราบอย่างเป็นทางการ จากนั้นบอร์ดของแต่ละรัฐวิสาหกิจจึงจะสามารถพิจารณาได้
ส่วนพนักงานหรือลูกจ้างรัฐวิสาหกิจที่มีเงินเดือนเต็มขั้นหรือเต็มเพดานแล้ว จะไม่ได้รับการปรับในครั้งนี้
นอกจากนี้ครม.ยังได้อนุมัติการยกเว้นภาษีสำหรับการโอนเงินจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพไปออมต่อเนื่องในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ(อาร์เอ็มเอฟ) ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.2559 ซึ่งจะเป็นการช่วยส่งเสริมการออมเพื่อการเกษียณอายุอย่างต่อเนื่องผ่านระบบผ่านระบบกองทุน รวมทั้งช่วยเพิ่มทางเลือกแก่ผู้ออมให้ได้รับผลตอบแทนจากการออมเพิ่มขึ้น สร้างหลักประกันและความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคมให้แก่ผู้สูงอายุ และช่วยลดภาระงบประมาณของรัฐบาลในการดูแลผู้สูงอายุในอนาคต โดยเฉพาะเมื่อประเทศไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ จะไม่ทำให้รัฐบาลสูญเสียรายได้ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากการประมาณการรายได้ประจำปีงบประมาณ