อาตมาถูกปรักปรำ !!! จาตุรงค์โร่หาเจ้าตัว ยันค้นหาความจริงถึงที่สุด
หลังจากมีกรเปิดใจครั้งแรกหลังจากที่ พระอธิการ ชาลี ญานธโร อดีตเจ้าอาวาสวัดป่าดงหม้อทอง อ.บ้านม่วง จ.สกลนคร ถูกสั่งปาราชิก ฐานเสพเมถุนกับสีกาคนหนึ่ง จากเหตุการณ์ดังกล่าว ท่านได้ออกจากวัดและไม่ลาสิกขา และ ยืนยันว่าถูกปรักปรำ
ล่าสุด จตุรงค์ สุขเอียด นักข่าวชื่อดังได้ติดตามเรื่องนี้อย่างไกล้ชิดล่าสุดได้เข้าไปพบกับ พระอธิการ พร้อมโพสรูปและเราเรื่องเหตุการณ์ดังนี้
กรรมเป็นของใครคนนั้นมารับไป…ผมไม่ได้มีแผนจะไปวัดป่าดงหม้อทอง ที่สกลนครมาก่อน เพียงแต่ไหลไปดูเรื่องไม้พะยูง จนพบว่า ชาวบ้านในต.ดงหม้อทอง ทั้ง4 หมู่ แตกแยกกันหนัก ขนาดด่ากัน ทะเลาะกัน พระในวัดก็วิวาทะกันมานานนับปี เหตุเพราะเจ้าคณะปกครอง มีมติปาราชิก พระอธิการชาลี เจ้าอาวาสลับหลังท่าน เพราะผู้หญิงคนหนึ่ง ออกมาเปิดเผยว่า มีสัมพันธ์ชู้สาวกับท่านมาหลายปี เริ่มจากปี54-58 ตอนนี้เธอ อายุ44ปี ขณะพระอธิการชาลี 70 ปีพอดี
โดยว่า มีคลิป ที่ผู้หญิงแอบถ่ายตัวเองกับพระตอนมีเพศสัมพันธ์กัน แต่คลิปไม่ได้ถูกเผยแพร่ ทางคณะสงฆ์เกรงว่า จะเสื่อมเสียหนักขึ้นจึง ให้แต่พระสังฆาธิการดูเพื่อตัดสินเท่านั้น.
ชาวบ้านก็ไม่ทุกคนที่ได้เห็น จึงมีทั้งเชื่อและไม่เชื่อว่าจริง บ้างว่า เป็นขบวนการปรักปรำเพื่อขับไล่ท่าน จึงขอความเป็นธรรมให้กับพระอธิการชาลี
ผมพยายามหาเหตุแห่งการใส่ร้ายก็ดูน้ำหนักแต่ไม่มากพอ แต่ถ้าใส่ความท่านจริงๆ นี่นับเป็นเรื่องที่เลวร้ายมากที่สุดของสังคมพุทธเรา. แต่ถ้าจริง ชาวบ้านที่หลงศรัทธาอยู่ก็จะได้หูตาสว่างขึ้น จึงตัดสินใจ ทำความจริงเรื่องนี้ ให้ปรากฎ
เริ่มจากไปหา เจ้าคณะอำเภอบ้านม่วง ท่านสะดับเหตุผล และขั้นตอนปาราชิก อย่างละเอียดรอบคอบ ตามพระธรรมวินัยที่สุด ยืนยันว่า มีหลักฐานจริงๆจึงมีมติระดับเจ้าคณะจังหวัดออกไปให้พ้นจากความเป็นพระขั้นปาราชิก.
ผมไปหาหญิงคนดังกล่าว เธอ มีสามี และลูกๆ แล้ว
ก็ยอมรับไปเป็นชู้กันจริง แต่สามีไม่รู้บอกว่า ไม่โกหก แต่ที่อัดคลิปเพราะอยากเอาไปให้กำนันดูว่า พระรูปนี้ เป็นชู้กับเธอจริง และโกรธที่ขอเงินแสนนึงแต่ได้แค่3หมื่นแล้วถูกลูกศิษย์ทำร้ายด้วย เธอว่า ท่านเป็นคนดี ถ้าไม่นับเรื่องที่ว่านี้ หลังมีเรื่อง พระอธิการชาลี ก็ออกจากวัดมาเลย แล้วไม่ได้กลับอีก เพราะวุ่นวาย ไม่ใช่หนีความจริง
ตอนนี้หลบเพราะอาจถูกดำเนินคดี ฐานแต่งกายเลียนแบบสงฆ์ได้ ขณะที่ชาวบ้านบางส่วนก็หาตัวมาถอดจีวรเอง แต่แกนนำชุมชนก็บอกว่า เชื่อคำตัดสินของคณะปกครองชอบธรรมแล้ว อยากให้ผู้สนับสนุนยุติการช่วยเหลือไป. ที่สุดคนสนิท ก็เจรจาจน พระอธิการชาลี ยอมพบผม แล้ว เปิดเผยเรื่องราวทั้งหมด ท่านบอกเป็นพระมาจนปานนี้ ใครจะสึกมาถอดจีวรไปง่ายได้อย่างไร จะตายก็ขอตายในผ้าเหลือง ส่วนทั้งหมดเป็นขบวนการเดียวกัน ถามกลับเจ้าคณะปกครองไปว่า ตอนเขามาร้องเรียน เคยเรียกไปสอบถามสักครั้งบ้างไหม จดหมายเชิญไปสอบมีบ้างไหม ไม่มีเลย ตัดสินแล้วจึงออกข่าวไป เป็นธรรมหรือไม่.ท่านว่า ตัวคนเดียว สู้คนหมู่มากไม่ไหว กลับไปก็อาจถูกยิงตาย.
ผมบอกว่า ไม่ได้มาเพื่อช่วยท่าน แต่มาช่วยหาความจริงเพื่อช่วยพระศาสนา ถ้าท่านผิด ก็ต้องรับคำตัดสิน ถอดจีวรออกและกล่าวคำลาสิกขา แต่ถ้าพิสูจน์ความจริงได้ว่า ท่านถูกใส่ร้าย ผมจะกลับมานิมนต์ท่านกลับไปวัดของท่านด้วยตัวเอง. ท่านว่า ขอบใจมาก ขากลับ
คู่หูแซวว่า ทำไม ไปบวชเอง วัดจะได้สงบ ผมว่า เราทุกคนล้วนมีวัดเป็นของตัวเองอยู่แล้ว กลับไปพัฒนาวัดของเราให้ดีกว่าวัดที่ว่า ก็คือบ้านเราไง เรื่องนี้ละเอียดอ่อนมากแต่เชื่อว่าเป็นประโยชน์กว่าปล่อยให้คลุมเครืออยู่ต่อไป รอชมนะครับ. อุโมงค์ผาเมือง?