สตง....กับมหกรรมฟื้นฝอยหาตะเข็บ!
คงจะเห็นผลงาน “ชิ้นโบว์แดง” ของกระทรวงพาณิชย์ที่ตีรัฐบาลปี๊บใหญ่โต หลังจากนายกฯและหัวหน้า คสช.งัด ม.44 สั่งให้กรมบังคับคดีมีอำนาจไล่ยึดทรัพย์สินนักการเมืองและข้าราชการผู้เกี่ยวข้องในคดีขายข้าวจีทูจี 20,000 ล้านบาท และโครงการรับจำนำข้าวที่คาดจะเกิดความเสียหายกว่า 2.8 แสนล้าน
วันวานเลยเห็นสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) กระโดดเกาะขบวนรถไฟไปกับเขา ด้วยการทำหนังสือไปถึง รมว.คลังจี้ให้พิจารณาทบทวนกฎหมายและประกาศกระทรวงการคลังที่เกี่ยวกับการจัดเก็บสรรพสามิตโทรคมนาคม ตามคำพิพากษาฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ที่พิพากษาว่าอดีต นายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ใช้อำนาจตำแหน่งหน้าที่ตราพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.พิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต พ.ศ.2527 (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2546 และพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิต พ.ศ.2527 และ พ.ศ.2546 ออกมาจัดเก็บภาษีสรรพสามิต กีดกันผู้ประกอบการรายใหม่และเอื้อประโยชน์ให้แก่ “ชินคอร์ป” จนเป็นเหตุให้รัฐเสียหายไปกว่า 31,462 ล้าน
พร้อมเสนอตั้งกรรมการสอบหาตัวเจ้าหน้าที่รัฐมีส่วนร่วมกระทำความผิดในการตราพระราชกำหนดทั้งสองฉบับ จนเป็นเหตุผลให้ บมจ.ทีโอที ได้รับความเสียหายจากการได้รับส่วนแบ่งรายได้จากสัญญาสัมปทานลดลง และกรณีไม่ดำเนินการให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลฎีกาฯดังกล่าว เพื่อดำเนินการลงโทษทางวินัย ทางแพ่ง และอาญาต่อไปด้วย
นัยว่าจากการติดตามตรวจสอบการปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลฎีกาฯ พบว่า จนถึงวันนี้ทีโอทีและสำนักงานปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (กระทรวงดิจิทัลในปัจจุบัน) และกระทรวงการคลัง ยังไม่ได้ดำเนินการให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลฎีกาฯ โดยเฉพาะการเสนอเรื่องต่อ ครม.เพื่อขอยกเลิกเป็นทางการ ทำให้พระราชกำหนดทั้งสองฉบับยังคงมีผลบังคับใช้อยู่ และอาจทำให้ประเทศชาติเสียหายได้อีก
จะว่าไปสิ่งที่ สตง.ดำเนินการไปก็ไม่น่าจะมีวาระซ่อนเร้นในเมื่อมีคำพิพากษาของศาลฎีกาต่อกรณีนี้ ตั้งแต่ปีมะโว้ เหตุใดจนวันนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องถึงยังไม่ดำเนินการ แต่จะให้ดีกว่านี้หาก สตง.จะได้ไล่เบี้ยไปจนถึงรัฐบาลชุดก่อนนั่งทับขี้ “ชิ่งหนี” เผือกร้อนกันได้อย่างไรถึงไม่ดำเนินการในเรื่องนี้เพราะมีคำพิพากษามาตั้งแต่ปี 2553
แต่เนื่องสิ่งอื่นใดสิ่งที่ทุกฝ่ายควรต้องตระหนักกับการที่จะให้กระทรวงการคลังพิจารณายกเลิกจัดเก็บภาษีสรรพสามิตโทรคมนาคมนั้น เป็นการปกป้องผลประโยชน์ของของรัฐแน่หรือ เป็นการขจัดซากเดนของกฎหมายที่เอื้อประโยชน์ต่อบริษัทเอกชนอย่างชินคอร์ปที่ปัจจุบันเปลี่ยนมือไปเป็น “อินทัช”แล้วแน่หรือ?
วันนี้และตลอด 10 ปีมานี้ นับตั้งแต่รัฐบาล “ขิงแก่” ตัดสินใจยกเลิกการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตโทรคมนาคมที่นัยว่าเอื้อประโยชน์แก่กลุ่ม “ชินคอร์ป” ปิดกั้นการแข่งขันเสรีของผู้ประกอบการโทรคมนาคมรายใหม่นั้น ได้ทำให้ตลาดโทรคมนาคมไทยมีการแข่งขันเสรีเป็นธรรม มีผู้ประกอบการโทรคมนาคมรายใหม่ทั้งในและต่างประเทศตบเท้าเข้ามาร่วมประมูลใบอนุญาต 3จี และ 4จี กันอื้ออึงไหม?
ประชาชนคนไทยเราได้ยินข่าวมีนักลงทุนบริษัทโทรคมนาคมสุดบิ๊กบึ้มจากทั่วโลกอย่างไชน่าโบบาย เทเลนอร์ โวดาโฟน Korea Telekom จากเกาหลี หรือ NTT Docomo ตบเท้าเข้าร่วมวงไพบูลย์กับเราไหม เพราะประเทศไทยเราเปิดกว้างให้บริษัทสื่อสารจากทั่วโลกเข้ามาประมูลเพื่อรับใบอนุญาตมือถืออย่างเสรีแล้ว ไม่มีกฎหมายภาษีสรรพสามิตโทรคมนาคมที่เป็นอุปสรรคหรือเป็นมาตรการกีดกันการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมแม้แต่น้อย
ขอโทษเถอะ! ก็เห็นมีแต่หน้าเดิมประมูล 3จี และ 4จี เอไอเอส ดีแทค ทรูมูฟ ไม่เห็นจะมีบริษัทโทรคมนาคมจากต่างแดนที่ไหนข้ามน้ำข้ามทะเลเข้ามาร่วมประมูลเลย ที่เคยแหยมดอดเข้ามาร่วมประมูล 4 จีอยู่รายหนึ่งก็บริษัท จัสมินโมบายบรอดแบนด์ จำกัด นั่นไง ที่คว้าประมูล 4จี ไปแล้วเบี้ยวขึ้นมา จนทำเอาตลาดโทรคมนามไทยปั่นป่วนหวิดจะตกขบวน 4จี ไป จนนายกฯต้องตัดสินใจงัด ม.44 ออกคำสั่งให้ กสทช.จัดประมูลใหม่
เหนือสิ่งอื่นใด สิ่งที่ทั่นประธาน คตง.และผู้ว่า สตง.ควรจะได้ตระหนัก หากวันนี้และตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมานี้ หากกฎหมายจัดเก็บภาษีสรรพสามิตโทรคมนาคมฉบับนี้ยังคงใช้บังคับอยู่ วันนี้ผู้ประกอบการโทรคมนาคมทั้งที่มีสัญญาสัมปทานอยู่กับรัฐ หรือไม่มีสัญญาสัมปทานก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นผู้ให้บริการโทรพื้นฐาน บริการมือถือ อินเตอร์เน็ตหรือแม้แต่กิจการดาวเทียมก็ตาม
นอกจากผู้ประกอบการเหล่านี้ต้องจ่ายค่าสัมปทาน หรือค่าธรรมเนียมใบอนุญาตให้แก่หน่วยงานรัฐที่ทำหน้าที่กำกับดูแลและออกใบอนุญาตโดยตรงแล้ว ยังต้องเสียภาษีสรรพสิตโทรคมนาคมเข้ารัฐโดยตรงอีกในอัตราตั้งแต่ 2-10% สำหรับโทรพื้นฐาน 10-20% สำหรับมือถือ และรัฐยังสามารถปรับเพิ่มเพดานจัดเก็บไปสูงถึง 50% อีกด้วย
แต่พอรัฐบาลในอดีตพาลซื่อ (บื้อ) ไปยกเลิกจัดเก็บภาษีสรรพสามิตตัวนี้ไป มันจึงกลายเป็นรายการ “เตะหมูเข้าปากหมา” ที่ทำให้รัฐและกระทรวงการคลังสูญเสียเม็ดเงินภาษีสรรพสามิตโทรคมนาคมไปปีละกว่า 50,000 ล้านบาท หากคิดเป็นความเสียหายที่ประเทศชาติได้รับมาจนวันนี้ ก็มีมากกว่า 500,000 ล้านบาทแล้วในปัจจุบัน
วันนี้ประเทศเรา “เสียค่าโง่” กันไปแล้วกับสิ่งที่พวกท่านมโนกันขึ้นมา วันนี้บริษัทสื่อสารโทรคมนาคมที่เคยจ่ายค่าสัมปทานกันเป็นแสนล้าน (ท่านอ่านไม่ผิดหรอกว่าเป็นแสนล้าน) เพื่อถือครองใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคมมือถือนั้น จ่ายค่าธรรมเนียมการประมูลก้อนแรก 15,000-20,000 ล้านบาท กับค่าธรรมเนียมใบอนุญาตรายปีและค่าธรรมเนียม USO แค่ 2-2.5% เท่านั้น เบ็ดเสร็จไม่เกิน 4-5% ก็ได้ใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคมไปครองสบายแฮกันไปแล้ว
ทั้งหลายทั้งปวงก็เป็นผลพวงมาจากการยกเลิกภาษีสรรพสามิตโทรคมนาคมนั่นแหละ!!!
แต่แทนที่จะไปไล่เบี้ยใครกันที่ทำให้รัฐเสียหายสูญผลประโยชน์ไปนับแสนล้านจากการที่ไปยกเลิกการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตโทรคมนาคมที่ว่านี้ สตง.กลับอุตริจะไปไล่เบี้ยคนที่ผลักดันนำกฎหมายฉบับนี้ขึ้นมาใช้ซึ่งจะทำให้รัฐดึงเม็ดเงินภาษีเข้ารัฐได้นับแสนล้านบาทไปเสียนี่
โลกเรามาถึงจุดนี้ได้ยังไง ท่านอาจารย์ชัยสิทธิ์ ตราชูธรรม ประธาน คตง.ที่เคารพ!!!