หิ่งห้อย
หิ่งห้อย
เด็กหนุ่มใจร้อนผู้มีความมั่นใจในตัวเองสูง รู้สึกไม่พอใจที่ตนไม่มีโอกาสได้แสดงความสามารถของตัวเอง จึงมองโลกในแง่ลบเสมอ
วันหนึ่ง ปู่ของเขาได้พูดกับเขาว่า
“ได้ยินว่า ในป่านั้นมีฝูงหิ่งห้อยเป็นจำนวนมาก คนที่มีปัญญาเท่านั้นที่จะเป็นฝูงหิ่งห้อยนี้ได้ ปู่ดูจากสติปัญญาของเจ้าแล้ว ไม่น่าจะเกินกำลัง เจ้าลองไปหาดูสิ”
...
ค่ำนั้น เด็กหนุ่มได้เดินเท้าเข้าไปในป่า หมายจะดูหิ่งห้อย
แต่เขากลับผิดหวังอย่างแรง ไม่เพียงแต่ไม่เจอหิ่งห้อย เขายังถูกยุงกัดได้แผลติดตัวมาทั้งแขนและขา
...
“สนุกมากใช่ไหมครับปู่ ในป่าไม่เห็นมีหิ่งห้อยเลยสักตัว ปู่แกล้งผมใช่ไหม?”
เด็กหนุ่มต่อว่าปู่ในเช้าวันรุ่งขึ้น
“เปล่าๆ ปู่ไม่ได้แกล้งเจ้าสักหน่อย ในป่านี้มีหิ่งห้อยจริงๆ ไม่เชื่อ ค่ำนี้ปู่จะเป็นคนพาเจ้าไปดูเอง!”
ปู่ของเขาเอ่ยขึ้น
...
เด็กหนุ่มถือคบเพลิงเดินพาปู่ของตัวเองเข้าป่าในค่ำคืนนั้น เขาพยายามแหวกหญ้าเพื่อเสาะหาหิ่งห้อย แต่มันก็ไม่ปรากฏตัวให้เห็นเลยสักน้อย
“ไหนปู่ว่ามีหิ่งห้อยไง? ไม่เห็นมีสักตัว!”
สิ้นเสียงของเด็กหนุ่ม ปู่ของเขาก็เอื้อมมือไปหยิบคบเพลิงจากมือของหลานชาย จากนั้นก็จุ่มมันลงไปในน้ำเพื่อดับไฟ
“ปู่ ปู่จะดับไฟทำไม ป่ามืดขนาดนี้ ไม่มีแสงจะมองเห็นอะไร? แล้วผมจะเห็นหิ่งห้อยได้ยังไงเนี่ย?”
เด็กหนุ่มพูดขึ้นอย่างอารมณ์เสีย
คุณปู่ไม่ได้พูดอะไรออกไป ได้แต่ทำมือให้หลานชายเงียบ และชี้นิ้วไปบริเวณรอบข้าง
ไม่นานต่อมา ผืนป่าที่มืดสนิท ก็ปรากฏแสงของหิ่งห้อยวิบวับเต็มไปหมด
...
“ปู่ๆ หิ่งห้อยออกมาแล้ว ดูสิครับ พวกมันออกมาแล้ว!”
“เปล่าเลย มันไม่ได้เพิ่งออกมา มันอยู่ที่นี่กับเราตลอดเวลา”
ปู่บอกกับหลาน
“แต่เมื่อกี้ทำไมผมหาไม่เจอละครับ?”
“เพราะคบเพลิงของเจ้ามันสว่างเกินไป แค่เพียงดับไฟที่สว่างจ้านั้นลง ให้สายตาของเจ้าชินกับความมืด เจ้าจึงจะเห็นหิ่งห้อยเหล่านี้ได้”
ปู่ตอบหลานชายผู้ใจร้อน
.................
ความมืด ไม่ได้แปลว่าอับจนหมดหนทาง
ความมืด ไม่ได้หมายถึงชีวิตต้องดิ่งลงเหวเสมอไป
บางครั้ง
เพราะความมืดชีวิตจึงเกิดความสว่าง
เพราะความมืดชีวิตจึงเกิดการเริ่มต้น
เพราะความมืดชีวิตจึงเกิดความกล้าหาญ
ยามใดที่ชีวิตต้องเผชิญกับความมืด อย่าเพิ่งโวยวาย อย่าเพิ่งปรักปรำ เพราะในความมืดของชีวิตนั้น มักมีแสงสว่างที่ชัดเจนที่สุดปรากฏขึ้นเสมอ