พฤติกรรมการช็อปปิ้งที่เปลี่ยนไป / วรวรรณ ธาราภูมิ
พฤติกรรมการช็อปปิ้งที่เปลี่ยนไป
---------------------------------------
Businessinsider รายงานว่า 1 ใน 6 ของช็อปปิ้งมอลล์ในสหรัฐฯ จะหายไปในทศวรรษหน้า
จากการศึกษา ข้อมูลพฤติกรรมของผู้บริโภค Cushman & Wakefield บริษัทวิจัย Real Estate พบว่าในระหว่างปี ค.ศ.2010-2013 การไปเดินในช็อปปิ้งมอลล์ของคนอเมริกัน ลดลงไปถึง 50% และคาดว่าจากนี้ไปจะยิ่งลดลงในอัตราเร่ง
Shopping Mall หลายแห่งได้ปิดตัวลงไป เพราะขายของไม่ได้ ไม่มีคนไปเดิน ทำให้ชุมชนนั้นๆ ได้รับผลกระทบแรง ตกงานเป็นเวลานานได้ถึงสิบปี นำไปสู่ปัญหาทางเศรษฐกิจและสังคม และรัฐจะขาดหายรายได้จากภาษี
Green Street Advisors ระบุว่า ในทศวรรษหน้านี้ มอลล์จะหายไปอีก 15% ซึ่งหมายถึงการปิดตัวลงของมอลล์หลายร้อยแห่ง และจะทำให้งานหายไปพันๆ ตำแหน่ง
.
อะไรเป็นสาเหตุให้มอลล์ต้องปิดตัว
------------------------------------------
แน่ละ ส่วนหนึ่งย่อมมาจากเศรษฐกิจไม่ดี คนไม่มีเงินจับจ่ายใช้สอย แต่หากเป็นเรื่องเศรษฐกิจอย่างเดียวแล้ว เมื่อเศรษฐกิจลื่นไหล ความคึกคักของการไปช็อปปิ้งมอลล์ก็จะกลับมา
แต่นี่ไม่ใช่
สาเหตุสำคัญอย่างหนึ่งมาจากช่องทางการซื้อขายใหม่ เช่น e-commerce ที่จะมาแทนที่
และเมื่อมอลล์ร้าง ก็อาจจะต้องใช้เวลาเป็นทศวรรษเลย กว่าจะหาคนใหม่มาเช่ามาได้จนเต็มพื้นที่ร้างนั้น รวมถึงการหางานทำใหม่สำหรับคนที่ตกงานด้วย
ซึ่งคนที่ตกงานนั้น จะมีวงกว้างกว่าที่คิด ไม่ใช่แค่พนักงานขายหน้าร้าน ธนาคารในมอลล์ คนส่งของ โรงภาพยนต์ ร้านอาหาร อินทีเรียดีไซเนิอร์ที่ออกแบบตกแต่งดิสเพลย์ ฯลฯ เท่านั้น
นี่คือ Trend ที่จะกระทบกับชนชั้นกลางมากที่สุด
.
ในสหรัฐฯ นั้น ช้อปปิ้งมอลล์เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของแต่ละเมือง เพราะมีการจ้างงานคนท้องถิ่นจำนวนมาก และมีการจ่ายภาษีให้รัฐ
ดังนั้น ถ้ามอลล์ต้องปิดดตัวลง ผลกระทบจึงเหลือคณานับ จนทุกคนในท้องถิ่นได้รับรู้ถึงความเจ็บปวด
อย่างห้างสรรพสินค้า Macy's ได้ประกาศล่าสุดว่าปิดห้างไปแล้ว 100 แห่ง !
ตามรอย Sears กับ JCPenney เป๊ะๆ
ส่วนร้านค้าที่เป็น specialty stores อย่าง Gap และ Abercrombie & Fitch ที่แทรกตัวอยู่ในช็อปปิ้งมอลล์ซึ่งมีแม่เหล็กอย่างห้างสรรพสินค้าใหญ่ ช่วยเป็นตัวดึงลูกค้ามาให้ทางอ้อม ก็ได้รับผลกระทบยิ่งกว่า
e-commerce ซึ่งทำให้ผู้บริโภคสามารถสั่งซื้อสินค้าหลากหลายได้รอบโลก ในราคาที่ต่ำกว่าเพราะไม่มีหน้าร้าน จึงเป็นศัตรูของช้อปปิ้งมอลล์อย่างแท้จริง
.
แต่นอกจาก e-commerce แล้ว พฤติกรรมการบริโภคอีกด้านก็เปลี่ยนไปด้วย เพราะเงินในกระเป๋าของแต่ละคนมันมีจำกัด อยากได้อะไรจึงต้องเลือกเฉพาะของที่อยากได้อันดับต้นๆ เท่านั้น
ซึ่งตอนนี้ คนอเมริกันจำนวนมากขึ้น เลือกที่จะใช้เงินไปกับ IT กับการเดินทางท่องเที่ยว ทำให้ใช้เงินน้อยลงในการซื้อเสื้อผ้า ... ร้านค้าเสื้อผ้าดั้งเดิมที่เป็น discount retailer ในสหรัฐฯ จึงได้ผลกระทบ เช่น TJ Maxx
นอกจากนี้ เมื่อจะซื้อเสื้อผ้า คนอเมริกันในวันนี้ไม่ซื้อที่ร้านดั้งเดิมในราคาเต็มๆ อีกต่อไป พวกเขาเลือกซื้อผ่านออนไลน์ ซึ่งจะทำให้ร้านค้าเสื้อผ้าท้องถิ่นในสหรัฐฯ จำนวนมากต้องปิดตัวลงไปเรื่อยๆ
ที่ต้องกังวลก็คือ เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ แล้ว เราพบว่าสหรัฐฯ มีอัตราพื้นที่ร้านค้าเทียบกับหัวของประชากรที่เกินกว่าบ้านเมืองอื่นๆ ถึง 5 เท่า … จะมีพื้นที่อาคารร้างรอการเช่าเพิ่มขึ้นทุกวัน
.
Trend อย่างนี้ มันมาถึงไทยแล้ว … . และในกรุงเทพฯ ก็มีช้อปปิ้งมอลล์มากมายเสียด้วย
มองภาพรวมในบ้านเราแล้ว ยังไม่เห็นมีใครในระดับนโยบายรัฐคิดรับมือกัน เห็นแต่การผลักดัน การอ้าแขนต้อนรับนวัตกรรมใหม่ๆ ทางเทคโนโลยี IOT (Internet of Things) และ FinTech ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีมากจนไม่ควรปฏิเสธ
แต่มันจะดีกว่านี้ ถ้าจะมีการวางแผนรับมือการตกงานจำนวนมากเพราะเทคโนโลยีกับพฤติกรรมผู้บริโภค ที่กำลังเปลี่ยนไปในอนาคตอันใกล้ไปด้วย และมันจะกระทบธุรกิจหลายภาคส่วน ไม่ใช่แค่ช็อปปิ้งมอลล์ เพราะมันจะกระทบทุกธุรกิจ รวมไปถึงภาคธนาคารและการเงิน
ลองหลับตาคิดสิ ว่างานที่เราแต่ละคนทำอยู่นี้ จะได้รับผลกระทบอย่างไรบ้าง มันกระทบทุกธุรกิจเลยใช่ไหมล่ะ
จะเรียกว่า Dual Track ก็ได้ เดินหน้าพัฒนารับโอกาสจากเทคโนโลยีไปพร้อมๆ กับวางแผนรับมือกับการปฏิวัติอุตสาหกรรมอีกครั้งในยุคนี้ ที่จะมีระดับความรุนแรงมากกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา แรงถึง 10 ริคเตอร์ หรือมากกว่า
ไม่ต้องรอให้เกิดปัญหาแล้วจึงมาแก้ เพราะมันจะเป็นปัญหาที่แก้ไม่ได้ที่ยาวนานเป็นทศวรรษ
.
วรวรรณ ธาราภูมิ
CEO กองทุนบัวหลวง
4 กันยายน 2559
.
ภาประกอบนำมาจาก businessinsider / CNN / NYTimes / deadanddyingretail
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=10209724482016034&set=pcb.10209724478935957&type=3&theater