อันมีที่มาแต่เรื่อง…"ผักตบชวา"
อันมีที่มาแต่เรื่อง…"ผักตบ
ที่มีผู้หาญกล้านำเสนอเมนูผ
เพื่อเป็นทางออกในการแก้ปัญ
ส่วนจะประชดแดกดันใคร…อันนี
ถามว่า…#ผักตบ…กินได้มั้ย
ตอบว่า…#กินได้ครับ…แต่อย่าโง่‼️
ตั้งแต่โบราณกาลมา
คนไทยภาคกลางมีพืชน้ำชนิดหน
เราเรียกกันว่า "ผักตบ"
…แต่ต้องเพิ่มชื่อเข้าไปเป็
เพราะไม่เช่นนั้นคนจะสับสนก
นั่นคือเจ้า…"ผักตบชวา"
#ผักตบไทย…กินได้ทั้งดอกและก้านอ่อน
จะลวกจิ้มน้ำพริก ทำแกง
หรือทำผัดอย่างผักหลากชนิดข
กินกันมานานและนานมากแล้ว
ส่วนเจ้าน้องใหม่…#ผักตบชวา
ทั้งเหนียวทั้งหยาบ
เกิดมาเพิ่งเคยได้ยินว่า
มีคนคิดทำกับข้าวให้คนด้วยก
สมัยเป็นหนุ่มแล้ว…เมื่อราว
มีผู้นำไปทำเป็น…#อาหารหมู
ขอประทานโทษ…"#หมูไม่แหวกครับ"
จึงได้แต่นำมาทำเป็นงานหัตถ
ถ้ากินได้จริงๆ ของฟรีเยี่ยงนี้คงหมดไปแล้ว
พอดีไปเจอกลอนสองบทนี้เข้าใ
เป็นของ…#นักเขียนบทละครโทรทัศน์ผู้
สะใจดี เลยไม่แต่งเอง
เห็นว่าใช้ภาษาพูดได้ตรงดี
และผมใส่ไว้ในเครื่องหมายคำ
จึงไม่ตรวจคำผิด‼️
ป้องกันท่านที่หวังดี…#สะเหล่อ…มาแก้คำผิด
("สะเหล่อ"…เขียนตาม #พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถ
ไม่ได้เขียนตาม #พจนานุกรมคำใหม่ เล่ม ๑ พ.ศ.๒๕๕๐…ที่เขียน "เสร่อ" สมชื่อ)
ไม่ได้ขออนุญาตด้วย เอามาลงเลย
(จะโดน "เจริญพร" รึเปล่ายังไม่ทราบ อิอิ)
"…อันผักตบนั้นกินได้ไม่ต้อ
เอามาผัดให้แม่งกินสิ้นปัญห
แดกแล้วฉลาดมากปราชญ์บอกมา
แดกแล้วได้ปริญญาเอกและโท
กูไม่แดกเลยจบแค่ ป.ตรี
ไม่ได้เป็นดอกเตอร์นี่น่าโม
ไม่ได้เป็นจานมหาลัยร้องไห้
ไม่อยากโง่แดกผักตบจบด๊อกชั
Thipdhida Satdhathip (ประพันธ์)