เรื่องราวจาก “เหตุการณ์ 15 สิงหา” ของชาวนานกิง
เรื่องราวจาก “เหตุการณ์ 15 สิงหา” ของชาวนานกิง
ผู้ที่รอดชีวิตจากเหตุการณ์ญี่ปุ่นรุกรากจีนและการสังหารหมู่ที่นานกิงประมาณ 130 คนมารวมตัวกันเพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์ ซึ่งถึงแม้ว่าผู้รอดชีวิตที่อายุมากสุดจะเกินร้อยปีก็ตาม แต่ก็ยังไม่ลืมเหตุการณ์เมื่อ 71 ปีที่แล้ว อีกทั้งยังจดจำความรู้สึกของตัวเองที่ผสมปนเปเมื่อทราบว่าญี่ปุ่นยอมจำนนในสงครามแล้ว
หากว่าเหตุการณ์ญี่ปุ่นรุกรานจีนเมื่อวันที่ 13 ธันวาคมเปรียบเสมือนความมืดมิดที่ดูดกลืนทุกสิ่ง ฉะนั้นเหตุการณ์เมื่อวันที่ 15 สิงหาคมก็เปรียบเสมือนแสงสว่างที่ช่วยส่องทางให้ชาวจีน
อู่เจิ้งสี่ ผู้รอดชีวิตเหตุการณ์เล่าว่า เมื่อช่วงเดือนธันวาคม 1937 ตอนที่เขาอายุ 13 ปี ก็ไปหลบภัยกับคนในครอบครัวอีก 10 คน แต่ที่หลบภัยนั้นกลับไม่ปลอดภัย โดยน้องชาย 3 คนและลุงอีก 1 คนถูกทหารญี่ปุ่นจับตัวไปรุมยิง ส่วนคุณปู่ที่นอนป่วยอยู่บนเตียงถูกแทงหลายครั้งจนเสียชีวิต คุณย่าถูกทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส ส่วนน้าสาวก็ถูกข่มขืน
“คุณปู่ตาบอดทั้งสองข้าง จึงได้แต่นอนอยู่บนเตียง พอไม่เข้าใจที่ทหารญี่ปุ่นพูด เลยถูกแทงหลายครั้งที่หน้าอกและขาจนเสียชีวิต ผมเกลียดคนญี่ปุ่นมาก! ”
ต่อมาวันที่ 15 สิงหาคม 1945 ในขณะที่อู่เจิ้งสี่กำลังทำงานอยู่ในร้านต้มน้ำของตนเอง ก็ได้ยินเสียงวิทยุที่เปิดจนดังไปทั้งซอย จากเสียงในวิทยุนั้นมีชาวญี่ปุ่นออกมาพูดอะไรสักอย่างด้วยน้ำเสียงที่เนิบช้า พอมองออกไปข้างนอกก็เห็นชาวญี่ปุ่นที่เป็นเจ้าของกิจการลงไปคุกเข่าอยู่หน้าร้านของตัวเอง ไม่เว้นถึงหญิงญี่ปุ่นที่สวมชุดกิโมโนด้วย ส่วนชาวญี่ปุ่นที่สวมชุดทหารก็ลงไปคุกเข่าไปพร้อมๆกับน้ำตาที่ไหลริน
ในตอนนั้นมีคนจีนที่ทำงานอยู่ในร้านชาวญี่ปุ่นวิ่งออกมา แล้วตะโกนไปทั่วซอยว่า “ยอมจำนนแล้ว ผีบ้ายอมจำนนแล้ว!” อู่เจิ้งสี่เล่าว่าพอได้ยินก็ตกใจมาก ตอนแรกยังไม่ปักใจเชื่อเท่าไหร่ แต่พอเห็นทหารญี่ปุ่นวางอาวุธในมือ คนจีนก็ดีใจตื้นตันกันจนพูดไม่ออก หลังจากนั้นไม่กี่วัน ร้านค้าของชาวญี่ปุ่นที่อยู่ใกล้เคียงทั้งหมดก็ปิดตัวลง มีการเผยแพร่ข่าวไปทั่วซอย มีบางคนเห็นทหารญี่ปุ่นใช้มีดแทงม้าจนตาย บางคนก็ฆ่าตัวตายด้วยวิธีฮาราคีรี
ถึงแม้ว่าในปีนี้อู่เจิ้งสี่มีอายุ 92 ปีแล้ว แต่ก็ยังไม่ยอมแพ้ จนถึงปัจจุบันนี้ก็ยังอาศัยอยู่ที่เดิม โดยพูดถึงความต้องการของตัวเองว่า “หวังว่าตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ จะได้เห็นรัฐบาลญี่ปุ่นออกมากล่าวคำขอโทษอย่างใจจริง ไม่ใช่มีแต่การบิดเบือนและปฏิเสธข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ครั้งแล้วครั้งเล่า”