ประวัติศาสตร์ “ออรัลเซ็กส์” จากเลียองคชาติยุคโบราณถึงอมนกเขาสมัยใหม่
มีหลายสิ่งหลายอย่างที่มนุษย์ล้วนทำมาแล้วตั้งแต่โบราณกาล เช่น การร้องเรียนเรื่องการให้บริการ การสอดกัญชาใส่ ในช่องคลอด รวมทั้งการมีเพศสัมพันธ์ทางปาก หรือ ออรัลเซ็กส์
ออรัลเซ็กส์ไม่ได้เพิ่งเป็นที่นิยมในยุคทศวรรษที่ 1970 อย่างที่เราเข้าใจ และก็ไม่ได้ถูกทำให้เป็นกระแสหลักจากวงการหนังโป๊ การใช้ปากทำรักมีประวัติความเป็นมาอันยาวนานย้อนหลังไปนับพันปี เรามาดำดิ่งลงลึกไปดูด้วยกันไหม
งานศิลปะภาพวาดท่วงท่าลีลาการร่วมรักถูกค้นพบอยู่ทั่วโลก บรรพบุรุษของเราทิ้งไว้ตั้งแต่ยุคโบราณย้อนหลังไปนับพันปี เทียรี่ เลอเกย์ นักเขียนและนักวิชาการเปิดเผยกับสื่อออนไลน์ ซาลง เมื่อ พ.ศ. 2543 ว่า “ร่องรอยแท้จริงที่ชัดเจนอันแรกของเฟลาชีโอ้ (fellatio) หรือการอมหรือเลียองคชาตินั้นมาจากยุคอียิปต์โบราณ
เทพโอซีริสถูกน้องชายฆ่าและบั่นร่างออกเป็นชิ้น น้องสาวนามไอริสเก็บชิ้นส่วนต่างๆ มาประกอบร่างคืน แต่บังเอิญชิ้นส่วนที่เป็นองคชาติหายไป นางจึงปั้นองคชาติเทียมขึ้นจากดินเหนียว แล้ว ‘เป่า’ การชุบชีวิตเทพโอซีริสโดยการอมลึงค์เทียมนั้น มีภาพอันโจ่งแจ้งแสดงตำนานนี้อย่างชัดเจนอยู่หลายภาพ
หนังสือพิมพ์ดิอินดีเพ็นเดนต์รายงานเมื่อ พ.ศ. 2553 ว่าในเมืองปอมเปอี ซึ่งถูกฝังกลบไปเพราะภูเขาไฟวิสุเวียสระเบิดเมื่อ พ.ศ. 622 (ค.ศ. 79) นักโบราณคดีค้นพบโรงอาบน้ำที่ตกแต่งด้วยภาพวาดฝาผนังปูนเปียกที่กระตุ้นกามารมณ์ ซึ่งมีภาพเขียนแสดงการมีเพศสัมพันธ์ทางปากรวมอยู่ด้วย

อันโตนิโอ วาโรเน่ ผู้นำการขุดค้นโรงอาบน้ำ เปิดเผยว่าพบภาพเขียนบนฝาผนังที่แสดงให้เห็นท่า “อมลึงค์และเลียโยนี” ตลอดจนการเสพสังวาสหมู่รวมอยู่ด้วย นอกจากนี้ จากการขุดค้นพบอาคารโบราณแห่งหนึ่งในเมืองปอมเปอี ซึ่งเชื่อว่าเป็น ซ่องนางโลมชื่อซ่องลูปานาเร่ ก็มีภาพวาดฝาผนังที่กระตุ้นกามารมณ์ลักษณะเดียวกันนี้ ทั้งยังมีป้ายโฆษณาบริการโสเภณีที่ช่ำชองด้านโอษฐกามเป็นพิเศษติดไว้ด้วย
รายงานในหนังสือพิมพ์เดอะ วอลล์ สตรีต เจอร์นัลเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมาอ้างว่า คัมภีร์กามาสูตรา ตำราโบราณว่าด้วยพฤติกรรมทางเพศของมนุษย์ที่มีชื่อเสียงที่สุดของโลกที่รู้จักกันดี น่าจะเขียนขึ้นทางภาคเหนือของอินเดีย “อาจจะอยู่ในศตวรรษที่สอง” โดยตำราภาษาสันสกฤตดั้งเดิมนั้นพรรณนารายละเอียดของการเลียลึงค์ในลีลาที่ซับซ้อนด้วย

การเดินทางเข้าสู่ยุคกลาง
หากการมีเพศสัมพันธ์ทางปากประพฤติปฏิบัติกันทั่วโลกในยุคโบราณ การกระทำนี้คงจะไม่เสื่อมความนิยมลงเพียงเพราะจักรวรรดิโรมันล่มสลาย นิตยสารสมิธโซเนี่ยน รายงานเมื่อพ.ศ. 2557 ว่า การมีเพศสัมพันธ์รูปแบบใดๆ ในยุโรปยุคกลางล้วนเต็มไปด้วยกฎเกณฑ์และจารีตที่ยึดถือปฏิบัติตามกันมากมาย “ชาวอเมริกันสมัยใหม่คงนึกขอบคุณไม่น้อยที่ไม่ได้มีเซ็กส์ในยุโรปยุคกลาง เพราะข้อห้ามและข้อปฏิบัติทั้งหลายในสมัยนั้นยุ่งยากซับซ้อนเหลือเกิน”
หนึ่งในรายการที่ถือว่าเป็นเรื่องต้องห้าม คือ “การออรัลเซ็กส์” รวมทั้งลีลาร่วมรักใดๆ ก็ตามที่นำไปสู่จุดสุดยอด ซึ่งผิดแผกจากท่า “มิชชันนารี” ท่าการทำรักที่ผู้ชายอยู่บนโดยหันเข้าหาผู้หญิงซึ่งถือเป็นท่าเดียวที่ไม่บาปของคู่ชายหญิง แต่โอดอนเนลล์พบหลักฐานจำนวนมากอยู่ในรูปของพระคัมภีร์สมาโทษซึ่งมุ่งเป้าไปที่นักบวชเป็นหลัก โดยระบุวิธี “ปลงอาบัติด้วยการสารภาพบาปรูปแบบต่างๆ” และมีเอกสารที่แสดงถึงการสำนึกผิดในยุคกลางฉบับหนึ่งได้จากประเทศไอร์แลนด์ระบุว่าให้ “ปลงอาบัติสี่ปี” จากการเลียโยนีและ “ห้าปี” สำหรับการอมลึงค์
ยุคอุตสาหกรรมอันขันแข็ง
ความเกี่ยวโยงสัมพันธ์ระหว่างความสุขทางเพศกับบาปที่คริสตจักรเป็นผู้ออกกฎบังคับและแทรกซึมอยู่ในวัฒนธรรมยุคกลางนั้นกินเวลานานหลายศตวรรษ (บางคนอาจเถียงว่าก็ยังอยู่มาจนถึงวันนี้) เทียรี่ เลอเกย์ เปิดเผยกับซาลงว่า “ในศตวรรษที่ 19 ความสุขทางเพศกับความสัมพันธ์ใดๆ ที่ไม่ได้นำไปสู่การให้กำเนิดโดยตรงแม้จะอยู่ภายใต้โครงสร้างของการสมรสก็ตาม ถือเป็นพยศชั่วหรือต้นเหตุของการทำบาป ดังนั้น การอมลึงค์ก็ถูกมองว่าเป็นสิ่งต้องห้ามอยู่นั่นเอง”

แต่ตามการอ้างอิงจากโจนาธาน กรีน นักประวัติศาสตร์คำสแลง ผู้รวบรวมวิวัฒนาการสารพัดคำสแลงที่แทนการมีเพศสัมพันธ์ สำหรับคำสแลงว่าด้วยเพศสัมพันธ์ทางปาก พบว่าช่วงศตวรรษที่ 19 มีคำสแลงภาษาอังกฤษที่ใช้สำหรับทั้งการเลียโยนีและการอมลึงค์อยู่หลายคำ เช่น “prick eating” หรือ “กินเดือย” “minetting” หรือ “ล้างหน้าไก่” และ “eating seafood” หรือ “กินหอย” เป็นต้น
ก้าวสู่ยุคศตวรรษที่ 20
เมื่ออ้างอิงตามเส้นเวลาของโจนาธาน กรีน จะพบว่าช่วงเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ศตวรรษที่ 20 เป็นช่วงพัฒนาแบบก้าวกระโดดอย่างมากของคำสแลงว่าด้วยรูปแบบเพศสัมพันธ์ทางปาก เกิดคำเด่นๆ เช่น “dicky licker” หรือ “อีจอมดูด” “deep sea diving” หรือ “มุดถ้ำใต้น้ำ” “sneezing in the cabbage” หรือ “ดมดอกกะหล่ำ” และคำที่คุ้นเคยในปัจจุบันคือ “blow-job” หรือ “อมนกเขา” ซึ่งโจนาธาน กรีนอ้างอิงว่าเกิดขึ้นในยุคทศวรรษที่ 1940 (พ.ศ. 2483 – 2492)
ตามที่อ้างอิงจากงานวิจัยตีพิมพ์ในวารสารแคนาดาว่าด้วยเพศวิถีของมนุษย์เมื่อปี 2549 พบว่าในช่วงศตวรรษที่ 20 ออรัลเซ็กส์กลายเป็นองค์ประกอบหนึ่งของ ‘การเล้าโลม’ โดยมีอัตราสูงขึ้นอย่างรวดเร็วมาก ซึ่งนับเป็นการค้นพบสำคัญในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ในปลายศตวรรษ ออรัลเซ็กส์ได้กลายเป็นท่าหนึ่งของการมีเพศสัมพันธ์ แม้แต่คู่รักเพศตรงข้ามก็ยังทำ
คณะนักวิจัยอ้างว่าส่วนหนึ่งของการปรับภาพออรัลเซ็กส์ให้กลายเป็นเรื่องธรรมดาสามัญเพราะ “ความห่วงใยเพิ่มขึ้นเกี่ยวกับความสุขทางเพศของฝ่ายหญิง” และการให้ความสำคัญกับเรื่อง “การบรรลุจุดสุดยอดของความรู้สึกทางเพศของทั้งสองฝ่ายร่วมกัน”
ปลายศตวรรษที่ 20 ดูเหมือนผู้คนในสหรัฐอเมริกาทำออรัลเซ็กส์มากกว่าแต่ก่อน สื่อออนไลน์สเลทรายงานว่าการศึกษาวิจัยเมื่อ พ.ศ. 2537 พบ “ผู้ชายร้อยละ 27 และผู้หญิงร้อยละ 19 เคยมีออรัลเซ็กส์ในรอบปีที่ผ่านมา”
ยินดีต้อนรับสู่สมัยปัจจุบัน
สำนักข่าวเอบีซี นิวส์รายงานว่า เมื่อ พ.ศ. 2555 การสำรวจของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคพบว่า ในกลุ่มผู้ที่อายุ 20 ถึง 24 ปี นั้น “ผู้หญิงร้อยละ 81 และผู้ชายร้อยละ 80 เคยมีออรัลเซ็กส์”
ส่วนวัยรุ่นทำออรัลเซ็กส์เพราะเข้าใจกันว่าออรัลเซ็กส์ “ไม่ถือเป็นการมีเพศสัมพันธ์” เหมือนอย่างเซ็กส์แบบสอดใส่ เอกสารข้อเท็จจริงของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคที่ตีพิมพ์เผยแพร่เมื่อ 2552 ระบุว่า “มีข้อมูลบางอย่างแสดงให้เห็นว่าวัยรุ่นจำนวนมากที่ทำออรัลเซ็กส์ เพราะเชื่อว่าการกระทำนี้ไม่ใช่การมี ‘เพศสัมพันธ์’ ดังนั้น วัยรุ่นจึงใช้ออรัลเซ็กส์เป็นตัวเลือกในการหาประสบการณ์ทางเพศ ขณะที่ยังคงบอกว่าตนเองเป็นคน “รักนวลสงวนตัว”
เดอะ นิว ยอร์ก ไทมส์รายงานเมื่อเดือนเมษายนโดยอ้างอิงข้อมูลจากสถาบันคินซีย์ว่า ไม่ว่าเด็กวัยรุ่นจะเชื่อหรือคิดอย่างไรก็ตาม “คนส่วนใหญ่ หรือประมาณร้อยละ 71 คิดว่าออรัลเซ็กส์” คือการมีเพศสัมพันธ์
ปัจจุบัน มีช่องว่างระหว่างผู้ทำออรัลเซ็กส์กับผู้ถูกทำออรัลเซ็กส์หรือไม่? ตามกระแสวัฒนธรรมหลักที่บอกกันว่าผู้ชายไม่ชอบใช้ปากทำรักให้ฝ่ายหญิงนั้น จริงๆ แล้วมีตัวเลขแสดงให้เชื่อได้ว่า ทุกวันนี้ หนุ่มๆ ที่ชอบเพศตรงข้ามจะรู้สึกเพลิดเพลินกับทั้งการทำและถูกทำออรัลเซ็กส์
รองศาสตราจารย์เด็บบี้ เฮอร์เบนิค นักวิจัยแห่งมหาวิทยาลัยอินเดียนา ซึ่งมีส่วนร่วมในการสำรวจพฤติกรรมทางเพศระดับชาติ เปิดเผยเมื่อเดือนกันยายน ว่า ผู้ชาย “ส่วนใหญ่” ชื่นชอบการ “เบิร์น” ให้ฝ่ายหญิงจริงๆ “ตามข้อมูลใหม่ที่ยังไม่ตีพิมพ์จากการสำรวจนักศึกษามหาวิทยาลัยครั้งล่าสุดพบว่าร้อยละ 64 ตอบว่า [พวกเขาชอบทำออรัลเซ็กส์] ‘มากที่สุด’ และร้อยละ 24 ตอบว่า ‘ค่อนข้าง'”
ทุกวันนี้ แม้การตีตราทางเพศยังมีให้พบเห็นอยู่เสมอในรูปแบบต่างๆ แต่อย่างน้อย เราก็เดินทางมาอยู่ในตำแหน่งที่รับรู้แล้วว่ามนุษย์มีเพศสัมพันธ์ทางปากและเพลิดเพลินกับการกระทำนี้มานับพันปีแล้ว
เรียบเรียงจาก A History of Oral Sex, From Fellatio’s Ancient Roots to the Modern Blow Job
















