บลูมเบิร์กเผยไทยขึ้นอันดับ 1 ประเทศทุกข์ยากน้อยที่สุดในโลกวัดจาก 74 ประเทศ
คนไทยมีความสุขจากรอยยิ้มจนได้รับฉายาว่าสยามเมืองยิ้ม (ขอบคุณภาพจาก dekdern.com)
เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2559 สำนักข่าวบลูมเบิร์ก โดย Masaki Kondo และ Will Davies รายงานผลสำรวจดัชนีความทุกข์ยาก หรือ Misery Index ประจำปี 22016 พบว่าไทยเป็นประเทศที่มีความทุกข์ยากน้อยที่สุดในโลกเมื่อเทียบกับประเทศอื่นอีก 74 ประเทศที่ทำการสำรวจ โดยไทยมีคะแนนรวมความทุกข์ยากเพียง 1.11 % จากการวัดผลตามดัชนีความทุกข์ยากของบลูมเบิร์ก
การวัดค่าเศรษฐกิจนี้บลูมเบิร์กอ้างอิงข้อมูลทางเศรษฐกิจต่างๆ ประกอบด้วยอัตราการว่างงาน ค่าเงินเฟ้อ ค่าครองชีพ และความเข้มแข็งของตลาดแรงงาน
รายงานระบุว่า ไทยมีอัตราว่างงานซึ่งได้รับการยืนยันอย่างเป็นทางการประมาณ 1% ของจำนวนประชากรในวัยทำงาน เป็นผลสำรวจระหว่างเดือน ก.ค.2558 -มิ.ย.2559 ทำให้ไทยเป็นประเทศที่มีความทุกข์ยากน้อยที่สุดติดต่อกันเป็นปีที่ 2 แต่บลูมเบิร์กเตือนว่าแม้อัตราเงินเฟ้อต่ำจะส่งผลดีต่อผู้บริโภค แต่ก็เป็นสัญญาณเตือนว่าเศรษฐกิจของประเทศอาจไม่ได้แข็งแกร่งนัก
ส่วนสิงคโปร์ติดอันดับประเทศที่มีความทุกข์ยากน้อยที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลก แทนที่สวิตเซอร์แลนด์ เนื่องจากค่าสินค้าอุปโภคบริโภคในสิงคโปร์ถูกปรับลดลง ทำให้สิงคโปร์มีคะแนนรวมความทุกข์ยาก 1.40% และญี่ปุ่นยังติดอันดับประเทศที่มีความทุกข์ยากน้อยที่สุดเป็นอันดับ 3 ของโลกเช่นเดียวกับปี 2558 โดยมีคะแนนรวมความทุกข์ยาก 2.70%
ขณะที่เวเนซุเอลาติดอันดับประเทศที่มีความทุกข์ยาก มากที่สุดในโลก หลังราคาน้ำมันตกต่ำ ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในประเทศ อัตราการว่างงานเพิ่มสูงขึ้น และเกิดภาวะขาดแคลนอาหารและยารักษาโรค ทำให้มีคะแนนรวมความทุกข์ยากถึง 188.2%
ประเทศที่มีความทุกข์ยากมากเป็นอันดับ 2 ของโลก คือบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา มีคะแนนรวมความทุกข์ยาก 48.97% อันดับ 3 คือ แอฟริกาใต้ มีคะแนนรวมความทุกข์ยาก 32.90% ส่วนประเทศอื่นๆ เช่น สหราชอาณาจักร เป็นประเทศที่มีความทุกข์ยากเป็นอันดับ 17 ของโลก สหรัฐติดอันดับ 21 และจีนติดอันดับ 23
ขณะเดียวกันเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวผ่านเฟซบุ๊กไลฟ์ ว่า ผลลัพธ์ ของประชามติดูเสมือนหนึ่งว่าฝ่ายรับร่างได้รับชัยชนะอย่างท่วมท้น แต่ถ้าดูความเป็นมาทั้งหมด โดยเฉพาะการนับคะแนนที่ประชาชนไม่สามารถเข้าไปดูได้ คนนอกไม่มีโอกาสเข้าไปสังเกตการณ์ได้ ก้มหน้าก้มตาอ่านผลและเอาตัวบัง เหมือนมุ้งมิ้งกันอยู่ 2-3 คนตนขอถามไปยัง กกต.ว่าอบรมเจ้าหน้าที่อย่างไรหรือมีนโยบายเช่นนี้ แล้วก็ภูมิใจกับ 15 ล้านเสียง
นายจตุพรเห็นว่าไม่ควร ภาคภูมิใจ เพราะเป็นชัยชนะจอมปลอม และหลังรัฐธรรมนูญฉบับนี้ประกาศใช้ เราจะได้เผด็จการแบบทูอินวันคือทั้งเผด็จการทหารและเผด็จการรัฐสภา เพราะวุฒิสภาเบ็ดเสร็จ
ส่วนพรรคการเมืองที่ประกาศไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ ต้องกล้าประกาศว่าไม่เอานายกรัฐมนตรีที่มาจากคนนอก และเมื่อไปยกมือให้นายกฯคนนอก ประชาชนต้องตัดสินใจ ตนเชื่อว่าวิกฤติไม่ว่าจะเผด็จการทหารหรือเผด็จการรัฐสภา จะทำให้ประเทศไทยได้รับบทเรียนอย่างชัดเจน และไม่ได้จบกันเพียงแค่วันที่ 7 ส.ค. เพราะประเทศยังต้องเดินต่อไป
“วันนี้ผมปลดแอกตัวเองประกาศแล้วว่าไม่ลงเลือกตั้ง จะขอเฝ้านายสุเทพ เทือกสุบรรณ ประธานมูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศ” นายจตุพรกล่าวและเชื่อว่าการเมืองเดินต่อไปไม่ได้ ภายใต้กติกาเผด็จการทหารและเผด็จการรัฐสภา ท้ายที่สุดแล้วจะเกิดวิกฤติใหญ่ที่ตนห่วงใยมากกว่า
ทั้งนี้ นายจตุพรทำนายว่าถ้าเลื่อนกำหนดการเลือกตั้งจากปี 2560 ไปอีก 3 -6 เดือน ระยะเวลาร่วมกว่า 2 ปี สภาพเศรษฐกิจของประเทศจะยิ่งวิกฤติมากขึ้น
World’s Least Miserable Live in Asia, Thanks to Disinflation
http://www.bloomberg.com/news/articles/2016-08-07/world-s-least-miserable-live-in-asia-thanks-to-disinflation
These Are the World's Most Miserable Economies
http://www.bloomberg.com/news/articles/2016-02-04/these-are-the-world-s-most-miserable-economies