แบงก์ใหญ่ทยอยแจ้งผลประกอบการ
ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) ประกาศผลกำไรในไตรมาส 2 ปี 2559 เทียบกับไตรมาส 2 ปี 2558 มีกว่า 9,428 ล้านบาท ลดลง 17.87% ส่งผลให้งวดครึ่งแรก ปี 2559 มีกำไรสุทธิ 19,074 ล้านบาท ลดลงจากครึ่งแรก ปี 2558 20.13% โดยเป็นผลจากการตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญเพิ่มขึ้น รองรับความไม่แน่นอนในภาวะเศรษฐกิจที่ยังชะลอตัว
ทั้งนี้ กำไรจากการดำเนินงานก่อนหักหนี้สูญ และหนี้สงสัยจะสูญและภาษีเงินได้ มีกว่า 46,981 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 10.15% ขณะที่ NPL ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2559 อยู่ที่ระดับ 2.89% สูงกว่า ณสิ้นปี 2558 ที่อยู่ที่ระดับ 2.70%
เช่นเดียวกับ ธนาคารกรุงเทพ (BBL) ที่ยังคงการตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญอย่างต่อเนื่องโดยยึดหลักความระมัดระวัง ทำให้กระทบต่อกำไรสุทธิไตรมาส 2 ลดลง 10.8% เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ปี 2558 หรือปีนี้มีกำไร 7,169 ล้านบาท โดยมีรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ 15,596 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,378 ล้านบาท และส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) เพิ่มขึ้นเป็น 2.27% จากต้นทุนเงินรับฝากลดลง
โดย BBL ระบุว่า เศรษฐกิจไทยที่ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องส่งผลให้สินเชื่อของธนาคารและบริษัทย่อยเพิ่มขึ้น 2% จากสิ้นปีก่อน ขณะที่ภาคธุรกิจยังถูกกระทบจากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวอย่างช้าๆ และการส่งออกที่ซบเซา ทำให้สินเชื่อด้อยคุณภาพของธนาคาร ณ สิ้นเดือนมิถุนายน มีกว่า 67,995 ล้านบาท หรือคิดเป็น 3.1% ของเงินให้สินเชื่อ
ส่วนธนาคารขนาดกลางอย่าง ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) รายงานผลกำไรสุทธิไตรมาส 2 ปี 2559 มีกำไรสุทธิราว 5,300 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21.2% จากไตรมาส 2 ปี 2558 ทำให้ครึ่งแรก ปี 2559 มีกำไร 10,400 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20.1% เมื่อเทียบกับครึ่งแรกปี 2558 สะท้อนอัตราการขยายตัวสินเชื่อที่น่าพอใจและครอบคลุมทุกกลุ่มธุรกิจที่ 4.2% หรือเพิ่มขึ้น 54,900 ล้านบาท เมื่อเทียบกับ ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2558 และมี NPL อยู่ที่ 2.2% เป็นระดับต่ำสุดหลังวิกฤตเศรษฐกิจเอเชีย