แผน 20 กรกฏาคม (20 July Plot) ครบรอบ 73 ปี แผนลอบสังหารฮิตเลอร์
6 มิถุนายน 1944 ฝ่ายสัมพันธมิตรยกพลขึ้นบกที่นอร์มังดี ของฝรั่งเศส นายทหารระดับสูงของเยอรมัน เชื่ออย่างไม่ต้องสงสัยว่า สงครามครั้งนี้ เยอรมันเป็นฝ่ายพ่ายแพ้แล้ว สเตาฟ์เฟนเบอร์กก็เป็นหนึ่งในผู้ที่เชื่อในสิ่งเหล่านี้ด้วยเช่นกัน และยังเชื่อมั่นต่อไปว่า การเจรจากับฝ่ายสัมพันธมิตร เพื่อยุติการนองเลือด และยุติการล่มสลายของเยอรมัน เป็นสิ่งที่เป็นไปได้ยาก
สิ่งที่เป็นได้ขณะนี้คือ การยอมแพ้อย่างไม่มีเงื่อนไข ซึ่งการยอมแพ้ดังกล่าว ไม่มีทางเกิดขึ้นได้ หากอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ และพรรคนาซีของเขายังครองอำนาจอยู่
หนทางมีอยู่เพียงอย่างเดียว คือ .... ลอบสังหารฮิตเลอร์
การวางแผนในครั้งแรก สเตาฟ์เฟนเบอร์กต้องการจะอยู่ที่กองบัญชาการของเขาในกรุงเบอร์ลิน เพื่อติดต่อกับกำลังหน่วยอื่นๆ ในการปฏิวัติ และยึดอำนาจจากพวก เอส เอส และเกสตาโป แต่ปัญหาก็คือ ไม่มีใครที่จะสามารถเข้าไปสังหารฮิตเลอร์ได้ที่กองบัญชาการ ในปรัสเซียตะวันออก ซึ่งรู้จักกันในาม รังหมาป่า (Wolfsschanze หรือ Wolf's Lair ในภาษาอังกฤษ)
สเตาฟ์เฟนเบอร์จำเป็นต้องมีบทบาทถึงสองด้านด้วยกัน คือ สังหารฮิตเลอร์ที่รังหมาป่า และกลับมานำการปฏิวัติในเบอร์ลิน
20 กรกฏาคม 1944 แผนการก็เริ่มขึ้น เมื่อสเตาฟ์เฟนเบอร์ก เดินทางไปยังรังหมาป่า กองบัญชาการของฮิตเลอร์ พร้อมด้วยระเบิดสองลูก เมื่อเข้าไปในห้องบรรยายสรุป เขาวางระเบิดไว้ที่ใต้โต๊ะ ก่อนที่ออกมาจากห้อง
นายทหารในห้องประชุมคนหนึ่งคือ พันเอก Heinz Brandt สะดุดกระเป๋าใบนั้น จึงขยับกระเป๋าไปไว้อีกด้านหนึ่งของขาโต๊ะขนาดใหญ่ ระเบิดระเบิดขึ้น มีผู้เสียชีวิต สี่คน แต่ขาโต๊ะขนาดใหญ่ที่ทำจากไม้โอ๊ค เป็นเสมือนกำบังชั้นเยี่ยมให้กับฮิตเลอร์ ทำให้เขารอดชีวิตมาได้อย่างหวุดหวิด
ขณะที่สเตาฟ์เฟนเบอร์กออกมาจากห้องประชุม เขาได้ยินเสียงระเบิดดังสนั่น ด้วยความเชื่อมั่นว่า ฮิตเลอร์เสียชีวิตจากแรงระเบิดดังกล่าว เขารีบเดินทางกลับเบอร์ลิน เพื่อทำการยึดอำนาจและจับกุมผู้นำพรรคนาซี ตามยุทธการ วัลคีรี่ มีการจับกุมทหารเอส เอส และเกสตาโป
แต่ โจเซฟ เกิบเบิล หนึ่งในผู้นำพรรคนาซี ได้ออกวิทยุกระจายเสียงว่า ฮิตเลอร์ยังมีชีวิตอยู่ และอีกไม่นาน ฮิตเลอร์ก็ได้พูดผ่านสถานีวิทยุกระจายเสียงของรัฐด้วยตนเอง เหล่าผู้ก่อการจึงทราบว่า การปฏิบัติการตามแผนของพวกตนล้มเหลว
สเตาฟ์เฟนเบอร์ถูกจับที่กองบัญชาการกองทัพบก (Bandlesblock - Headquarters of the Army) โดยได้รับบาดเจ็บที่หัวไหล่จากการยิงต่อสู้กัน ระหว่างการจับกุม
ในเวลาก่อน 01.00 น. ของวันที่ 21 กรกฏาคม 1944 การยิงเป้าผู้ก่อการก็เปิดฉากขึ้น ณ สนามหญ้าของกองบัญชาการกองทัพบก โดยหมู่ปืนเล็ก และใช้ไฟรถบรรทุกส่องสว่างไปยังสเตาฟ์เฟนเบอร์กและพวก ประกอบด้วย พลเอก Olbricht, ร้อยโท Von Haeften ซึ่งเป็นนายทหารคนสนิทของเขา, และพันเอก Albrecht Mertz von Quirnheim ก่อนถูกยิงทุกคน ยกเว้นสเตาฟ์เฟนเบอร์ก ตะโกนประโยคสุดท้ายว่า Es lebe das geheime Deutschland หรือ Long live the sacred German - ขอให้เยอรมันอันศักดิ์สิทธิ์จงเจริญ
ส่วนสเตาฟ์เฟนเบอร์กตะโกนว่า Es lebe unser heiliges Deutschland หรือ Long live the holy German - ขอให้เยอรมันอันศักดิ์สิทธิ์จงเจริญ
อย่างไรก็ตามหลุมศพของสเตาฟ์เฟนเบอร์ก ถูกทหารเอส เอส ขุดขึ้นมาในวันรุ่งขึ้น เพื่อปลดเหรียญกล้าหาญต่างๆ ออก และเผาศพของเขาทิ้งอย่างอเน็จอนาถ
ส่วนครอบครัวของสเตาฟ์เฟนเบอร์ก สามารถรอดพ้นจากการตามล่าของทหาร เอส เอส ไปได้ ภรรยาของเขามีอายุอยู่จนถึงอายุ 92 ปี และเพิ่งเสียชีวิตไปเมื่อปี 2006 บุตรชายคนหนึ่งของเขารับราชการจนเป็นนายพลในกองทัพบกเยอรมันตะวันตก ส่วนอีกคนได้รับเลือกเป็นสมาชิกสภาของเยอรมัน และของยุโรป...
ขอขอบคุณ:ป๊อก ป๊อกป๊อก