หัวหน้าคสช.ใช้ ม.44 ยึดที่ดินส.ป.ก.ผิดกฎหมายเกือบ 5 แสนไร่คืน-มีผลทันทีแจกคนไม่มีทำกิน
ที่ดินส.ป.ก.บางส่วนถูกนำไปจัดทำรีสอร์ทต่างๆที่ผิดประเภทจะถูกยึดคืน
พลเอกประยุทธ์ใช้อำนาจหัวหน้าคสช.ลงนาม ม.44 ดึงที่ดินส.ป.ก.กลับคืนโดยเฉพาะผู้ครอง 500 ไร่ขึ้นไปเผยทั่วประเทศมีประมาณ 500,000 ไร่ ให้เจ้าของแสดงเอกสารสิทธิ หากผิดกฎหมายต้องออกไป-รื้อถอนภายใน 45 วัน ส่งทหารตำรวจและเจ้าหน้าที่ลุยอย่างถูกต้อง
เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2559 เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่คําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 36/2559 เรื่อง มาตรการในการแก้ไขปัญหาการครอบครองที่ดิน ในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมโดยมิชอบกฎหมาย
ตามที่คณะรัฐมนตรีได้เคยมีมติตั้งแต่ปี พ.ศ. 2536 ให้มีการส่งมอบพื้นที่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติที่เสื่อมโทรมเพื่อนําพื้นที่ไป ดําเนินการจัดที่ดินให้แก่เกษตรกรตามกฎหมายว่าด้วยการปฏิรูปที่ดินเพื่อ เกษตรกรรม แต่จนถึงปัจจุบันได้ปรากฏข้อเท็จจริงว่ายังมีแปลงที่ดินที่ยังมิได้ ทําการสํารวจรังวัดอยู่อีกเป็นจํานวนมาก เนื่องจากมีผู้ถือครองที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมโดยไม่ชอบด้วย กฎหมาย ซึ่งกลุ่มบุคคลดังกล่าวต่างไม่ให้ความร่วมมือหรือความยินยอมเพื่อเข้าสู่ กระบวนการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม หรือแม้กระทั่งในบางรายที่ได้มีคําพิพากษาถึงที่สุดแล้ว
แต่การส่งมอบพื้นที่คืนเพื่อให้สํานักงานการปฏิรูป ที่ดินเพื่อเกษตรกรรมนําไปดําเนินการจัดที่ดินตามกฎหมายก็ยังไม่ได้รับการ ปฏิบัติตามคําพิพากษา
นอกจากนี้ ยังปรากฏว่ามีบุคคลซึ่งไม่มีสิทธิครอบครองโดยชอบด้วยกฎหมายเข้าใช้ประโยชน์ โดยอ้างสิทธิในที่ดินจากการซื้อขายต่อจากเกษตรกรในเขตปฏิรูปที่ดินหรือมีการ เปลี่ยนมือที่ดินที่จัดให้แก่เกษตรกรเพื่อถือครองที่ดินเป็นแปลงขนาดใหญ่ และได้นําพื้นที่ดังกล่าวไปประกอบเกษตรกรรมในรูปแบบการปลูกพืชเชิงเดี่ยว ซึ่งจะมีผลกระทบต่อระบบนิเวศน์อย่างรุนแรงในระยะยาว
หรือในบางกรณีปรากฏพื้นที่ข้างเคียงเขตปฏิรูปที่ดิน เพื่อเกษตรกรรมยังคงเป็นพื้นที่อนุรักษ์ ซึ่งหากมีการใช้ประโยชน์ที่ดินไม่เหมาะสม อาจมีปัญหาการบุกรุกพื้นที่เพิ่มเติมซึ่งกระทบต่อความมั่นคงทางทรัพยากร ธรรมชาติและก่อให้เกิดความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมได้
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา ๔๔ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว)พุทธศักราช ๒๕๕๗ หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติโดยความเห็นชอบของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ จึงมีคําสั่ง ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ในคําสั่งนี้ ที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมที่เป็นพื้นที่เป้าหมาย ได้แก่ ที่ดินดังต่อไปนี้
(๑) ที่ดินที่ยังไม่เข้าสู่กระบวนการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมที่มีเนื้อที่ตั้งแต่ ๕๐๐ ไร่ ขึ้นไป
(๒) ที่ดินที่คณะกรรมการปฏิรูปที่ดินจังหวัดมีมติให้เกษตรกรผู้ได้รับการจัด ที่ดินสิ้นสิทธิเข้าทําประโยชน์แล้วและครอบครองโดยบุคคลที่มิใช่ผู้ได้รับ การจัดที่ดินมีเนื้อที่ตั้งแต่ ๑๐๐ ไร่ ขึ้นไป
(๓) ที่ดินที่ศาลมีคําพิพากษาถึงที่สุดให้ส่งมอบแก่สํานักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมแล้วและมีเนื้อที่ตั้งแต่ ๕๐๐ ไร่ ขึ้นไป
การกําหนดพื้นที่เป้าหมายตาม (๑) และ (๒) ให้เป็นไปตามที่สํานักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประกาศกําหนด
ข้อ ๒ เมื่อสํานักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประกาศกําหนดพื้นที่เป้าหมายตามข้อ ๑ (๑)
ให้สํานักงานการปฏิรูปที่ดินจังหวัดปิดประกาศพื้นที่ เป้าหมายไว้ในที่เปิดเผย ณ ที่ว่าการอําเภอ ที่ทําการกํานันที่ทําการผู้ใหญ่บ้าน และที่ทําการองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น แห่งท้องที่ซึ่งพื้นที่เป้าหมายตั้งอยู่เป็นเวลาไม่น้อยกว่าเจ็ดวัน และให้นายอําเภอ กํานัน ผู้ใหญ่บ้าน และผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ปิดประกาศนั้น มีหน้าที่รักษาความมีอยู่หรือความสมบูรณ์ของประกาศด้วย
ข้อ ๓ ให้ผู้ครอบครองที่ดินในพื้นที่เป้าหมายตามข้อ ๑ (๑) ยื่นคําร้องเพื่อแสดงสิทธิในที่ดินตามประมวลกฎหมายที่ดินหรือกฎหมายอื่น ต่อสํานักงานการปฏิรูปที่ดินจังหวัดภายในสิบห้าวัน นับแต่วันปิดประกาศตามข้อ ๒ และให้สํานักงานการปฏิรูปที่ดินจังหวัดตรวจสอบหลักฐานแสดงสิทธิในที่ดินของ ผู้ครอบครองที่ดินในพื้นที่เป้าหมายให้แล้วเสร็จภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ ได้รับคําร้องตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กําหนดการยื่นคําร้องตามวรรคหนึ่ง ให้แสดงหลักฐานแสดงสิทธิในที่ดินอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้
(๑) โฉนดที่ดิน โฉนดตราจอง หรือตราจองที่ตราว่า “ได้ทําประโยชน์แล้ว”
(๒) หนังสือรับรองการทําประโยชน์ในที่ดิน (น.ส.๓ น.ส.๓ ก. น.ส.๓ ข. หรือแบบ
หมายเลข ๓)
(๓) หลักฐานการแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค. ๑)
(๔) ใบแจ้งความประสงค์จะได้สิทธิในที่ดิน (ส.ค. ๒)
(๕) ใบจอง
(๖) ใบเหยียบย่ำ
(๗) หนังสือแสดงการทําประโยชน์ตามกฎหมายว่าด้วยการจัดที่ดินเพื่อการครองชีพ (น.ค. ๓
กสน. ๓ หรือ กสน. ๕)
(๘) หนังสือแสดงสิทธิอื่นที่ออกโดยหน่วยงานของรัฐโดยชอบด้วยกฎหมาย
ข้อ ๔ ในพื้นที่เป้าหมายตามข้อ ๑ (๑) เมื่อสิ้นสุดระยะเวลาตามข้อ ๓ หากผู้ ครอบครองที่ดินไม่มายื่นคําร้องแสดงสิทธิในที่ดิน หรือสํานักงานการปฏิรูปที่ดินจังหวัดพิจารณาแล้ว ไม่เห็นชอบกับคําร้องตามข้อ ๓ หรือไม่ปรากฏว่ามีผู้ครอบครองที่ดินในพื้นที่เป้าหมาย ให้เจ้าหน้าที่ซึ่งเลขาธิการสํานักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมแต่ง ตั้งมีอํานาจดําเนินการ ดังต่อไปนี้
(๑) สั่งให้ผู้ครอบครองที่ดินออกจากพื้นที่เป้าหมายภายในเวลาที่กําหนด และงดเว้นกระทําการใดๆในบริเวณพื้นที่เป้าหมาย
(๒) สั่งให้ผู้ครอบครองที่ดินรื้อถอน ทําลาย หรือกระทําการอื่นใด แก่สิ่งปลูกสร้างหรือสิ่งอื่นใดในพื้นที่เป้าหมายภายในสามสิบวันนับแต่วัน ที่ได้รับคําสั่ง
(๓) เข้าไปทําการอันจําเป็นเพื่อการสํารวจและรังวัดพื้นที่เป้าหมาย หรือตรวจสอบการครอบครองและการใช้ประโยชน์ในที่ดินในเคหสถานหรือสถานที่ใด ๆ ในบริเวณพื้นที่เป้าหมาย
(๔) ออกคําสั่งเรียกให้บุคคลใดมารายงานตัวต่อเจ้าหน้าที่หรือมาให้ถ้อยคําหรือ ส่งมอบเอกสารหรือหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับการครอบครองและการใช้ประโยชน์ ที่ดินในพื้นที่เป้าหมาย
(๕) ยึด รื้อถอน ทําลาย หรือกระทําการอื่นใด กับสิ่งปลูกสร้างที่เป็นอุปสรรคกับการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ในกรณีที่ผู้ครอบครองที่ดินไม่ปฏิบัติตาม (๒) หรือไม่ปรากฏว่ามีผู้ครอบครองที่ดิน
ในพื้นที่เป้าหมาย
ข้อ ๕ ในพื้นที่เป้าหมายตามข้อ ๑ (๒) ให้เจ้าหน้าที่ซึ่งเลขาธิการสํานักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมแต่ง ตั้งมีอํานาจดําเนินการตามข้อ ๔ เมื่อคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินจังหวัดมีมติให้สิ้นสิทธิ
เข้าทําประโยชน์
ข้อ ๖ ในพื้นที่เป้าหมายตามข้อ ๑ (๓) ให้เจ้าหน้าที่ซึ่งเลขาธิการสํานักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมแต่ง ตั้งนําเจ้าพนักงานบังคับคดีเข้าไปดําเนินการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความแพ่งและให้เจ้าหน้าที่ และเจ้าพนักงานบังคับคดีมีอํานาจดําเนินการตามข้อ ๔
ข้อ ๗ ให้กองทัพภาค กองอํานวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร กองกําลังป้องกันชายแดนของกองทัพบก หรือกองบัญชาการตํารวจภูธรภาค มอบหมายเจ้าหน้าที่ในสังกัดของตนเข้าร่วมปฏิบัติการตามข้อ ๔ ข้อ ๕ และข้อ ๖ ตามที่สํานักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมร้องขอโดยให้เจ้าหน้าที่ที่ ได้รับมอบหมายนั้นมีอํานาจตามข้อ ๔ ด้วย
ข้อ ๘ ให้บรรดาสิ่งปลูกสร้างในบริเวณพื้นที่เป้าหมายที่ไม่เป็นอุปสรรคกับการ ปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของสํานักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมเพื่อใช้ในการ ปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมต่อไป
ข้อ ๙ เมื่อได้ครอบครองพื้นที่เป้าหมายแล้ว ให้สํานักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมเร่งดําเนินการให้มีการนําที่ดิน มาจัดให้แก่เกษตรกร ดังต่อไปนี้
(๑) เกษตรกรตามนโยบายจัดที่ดินทํากินให้ชุมชนของรัฐบาล
(๒) เกษตรกรที่ถือครองที่ดินเดิมที่ได้รับการคัดเลือกตามระเบียบคณะกรรมการ ปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการคัดเลือกเกษตรกร ซึ่งจะมีสิทธิได้รับที่ดินจากการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. ๒๕๓๕ โดยให้รวมถึงบุคคลในครอบครัวเดียวกัน หรือผู้สืบสันดานของผู้ถือครองที่ดินเดิม ที่ได้ร่วมทําประโยชน์ในที่ดินนั้นการจัดที่ดินให้แก่เกษตรกรตาม
(๓) ต้องไม่เป็นอุปสรรคต่อการจัดที่ดินทํากินให้ชุมชนตามนโยบายของรัฐบาล
ข้อ ๑๐ ให้ผู้ครอบครองที่ดินโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายชดใช้หรือออกค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจาก
การที่เจ้าหน้าที่ได้ปฏิบัติการอย่างหนึ่งอย่างใดตามข้อ ๔ (๕)
ข้อ ๑๑ เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติหน้าที่ตามคําสั่งนี้ ที่ได้กระทําการไปตามอํานาจหน้าที่โดยสุจริต
ไม่เลือกปฏิบัติ และไม่เกินสมควรแก่เหตุ ย่อมได้รับความคุ้มครองและไม่ต้องรับผิดทางแพ่ง ทางอาญา
และทางวินัย แต่ไม่ตัดสิทธิผู้ได้รับความเสียหายที่จะเรียกร้องค่าเสียหายจากทางราชการตามกฎหมาย
ว่าด้วยความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่
ข้อ ๑๒ ในการปฏิบัติหน้าที่ตามคําสั่งนี้ ให้เจ้าหน้าที่เป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา
และเป็นพนักงานฝ่ายปกครองหรือตํารวจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
ข้อ ๑๓ คําสั่งนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
สั่ง ณ วันที่ ๕ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๕๙
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา
หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ
เรียกคืนพื้นที่ส.ป.ก.จากผู้มีสิทธิพลและครอบครองไม่ถูกต้อง
เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2559 พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ คาดว่า ในวันนี้ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี จะเสนอให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ลงนามประกาศคำสั่ง คสช. เรียกคืนพื้นที่ในเขตปฏิรูปที่ดิน ส.ป.ก. จากผู้มีอิทธิพลที่ครอบครองที่ดิน ส.ป.ก.และไม่มีเอกสารสิทธิ์ที่ถูกต้อง ซึ่งเป็นการถือครองโดยมิชอบ
ทางด้านนายสรรเสริญ อัจจุตมานัส เลขาธิการสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) เปิดเผยว่า หากมีการบังคับใช้มาตรา 44 ได้หารือกับฝ่ายกฎหมายของ คสช.แล้วว่า ต้องประกาศ ให้เสร็จภายไว้ 30 วันตามกำหนด หลังจากนั้นผู้ครอบครองที่ดิน ส.ป.ก.ตามประกาศ ต้องรายงานตัวเพื่อแสดงหลักฐานและเอกสารสิทธิ์ หากเจ้าหน้าที่ ส.ป.ก.พิสูจน์ได้ว่า เอกสารสิทธิ์ไม่ถูกต้องและครอบครองโดยไม่ถูกกฎหมาย จะให้เวลาผู้ถือครองทำการรื้อถอนภายใน 45 วัน ซึ่งส.ป.ก.ประสานเจ้าหน้าที่ทหารในพื้นที่เข้ามาช่วยรื้อถอน
จากนั้นจะส่งมอบที่ดินให้ ส.ป.ก.ไปดำเนินการแจกจ่ายให้เกษตรกรที่ไร้ที่ดินทำกินต่อไป
นายสรรเสริฐเปิดเผยว่า พื้นที่ ส.ป.ก.ที่มีความจำเป็นเร่งด่วนต้องประกาศใช้มาตรการ 44 ประกอบด้วย
1.ที่ดินของผู้ถือครองเกิน 500 ไร่ ในพื้นที่ 25 จังหวัด จำนวน 422 แปลง รวม 426,371 ไร่
2.ที่ดินที่ศาลได้พิพากษาถึงที่สุดและสั่งให้บังคับคดีแล้วในพื้นที่ 3 จังหวัด ได้แก่ สุราษฎร์ธานี กระบี่ และนครราชสีมา พื้นที่ 11,000 ไร่ และ
3.ที่ดิน ส.ป.ก.ที่ขายให้กับบุคคลอื่นเกินกว่า 100 ไร่ ในพื้นที่ จ.พระนครศรีอยุธยา และนครราชสีมา จำนวน 2 แปลง ซึ่งส่วนใหญ่ถือครองโดยไม่ถูกต้องตามกฎหมาย
นายทุนครองที่ดินส.ป.ก. 500 ไร่กาญจนบุรี 13 ราย
เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม นายวัชรินทร์ วากะมะนนท์ ปฏิรูปที่ดินเพื่อการเกษตร (ส.ป.ก.) กาญจนบุรี เปิดเผยว่า สำหรับจังหวัดกาญจนบุรี พบว่า มีนายทุนครอบครองที่ดิน ส.ป.ก.กาญจนบุรี ตั้งแต่ 500 ไร่ขึ้นไป จำนวน 13 ราย รวมเนื้อที่ประมาณ 12,732 ไร่ ซึ่ง 1 ในนั้นคือการครอบครองที่ดินของวัดป่าหลวงตาบัว ญาณสัมปันโน จำนวน 931 ไร่เศษ วันศุกร์ที่ 8 ก.ค. เวลาประมาณ 09.00 น.จะนำเจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจสอบอีกครั้งหนึ่ง
นายวัชรินทร์เปิดเผยว่า หลังจากที่ ส.ป.ก.เปิดศูนย์ร้องเรียนการบุกรุกที่ดิน ส.ป.ก.โดยให้แจ้งได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 0-3456-4320 เบอร์มือถือ 09-3326-4991 (ปฏิรูปที่ดินจังหวัดกาญจนบุรี) หรือโทร.สายด่วน 1764 หรือส่งหนังสือร้องเรียนมาที่ สำนักงานปฏิรูปที่ดินจังหวัดกาญจนบุรี 100/22 ถ.แม่น้ำแม่กลอง ต.ปากแพรก อ.เมือง จ.กาญจนบุรี 71000 ได้รับการตอบรับจากประชาชนเป็นอย่างดี
ที่สำคัญมีการร้องเรียนเข้ามาว่า มีนายทุนครอบครองที่ดิน ส.ป.ก.กว่า 1,000 ไร่ ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวอยู่ติดกับที่ดินของวัดป่าหลวงตาบัว ขณะนี้เจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญของ ส.ป.ก.กำลังเข้าไปตรวจสอบข้อเท็จจริงตามที่ได้รับการร้องเรียนแล้ว ซึ่งหากพบว่าเป็นความจริง เบื้องต้น ส.ป.ก.ก็จะส่งหนังสือไปถึงผู้ครอบครองเพื่อให้มาชี้แจงการได้มาของที่ดิน เพื่อให้ความเป็นธรรม แต่ถ้าหากไม่ยอมมาพบเจ้าหน้าที่ก็จะดำเนินการทางด้านกฎหมายทันที