ชาวญี่ปุ่นรวมพลังขับไล่ฐานทัพมะกันออกจากประเทศ
ชาวญี่ปุ่นรวมพลังขับไล่ฐานทัพมะกันออกจากประเทศ:
19มิ.ย.2559 ชาวญี่ปุ่นจำนวนมากจัดชุมนุมประท้วง ทั้งในกรุงโตเกียวและเกาะโอกินาวา เพื่อขับไล่ฐานทัพนาวิกโยธินสหรัฐออกไปจากเกาะ หลังเกิดเหตุรุนแรงหลายครั้ง รวมถึงล่าสุดอดีตนาวิกโยธินอเมริกันฆ่าข่มขืนสาวชาวโอกินาวา
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากเมืองนาฮา ประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 19 มิ.ย. ว่ากลุ่มผู้ประท้วงหลายหมื่นคนชุมนุมกันบนเกาะโอกินาวาในญี่ปุ่น เพื่อต่อต้านการประจำการของฐานทัพอเมริกันในประเทศ และการก่ออาชญากรรมโดยทหารอเมริกัน จนสร้างความโกรธแค้นและความไม่พอใจให้แก่ชาวบ้านมานานหลายสิบปี
ผู้ประท้วงซึ่งผู้จัดงานชุมนุมคาดว่ามีจำนวนมากกว่า 50,000คน ได้มารวมตัวกันที่นาฮา เมืองเอกของจังหวัดโอกินาวา เพื่อแสองความไม่พอใจสหรัฐ หลังอดีตนาวิกโยธินอเมริกันฆ่าข่มขืนหญิงวัยรุ่นชาวญี่ปุ่นเมื่อเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา
คดีนี้ก่อให้เกิดกระแสต่อต้านฐานทัพสหรัฐมากขึ้น แม้ว่าสหรัฐกับญี่ปุ่นได้ทำข้อตกลงว่าด้วยความมั่นคงก็ตาม สำหรับการชุมนุมประท้วงล่าสุด เริ่มต้นด้วยการสงบนิ่งไว้อาลัยต่อรินา ชิมาบูกูโร สาวน้อยวัย 20 ปีที่ตกเป็นเหยื่อฆ่าข่มขืน และมีการอ่านแถลงการณ์จากพ่อของผู้ตายที่ทวงถามอดีตนาวิกโยธินว่า ทำไมต้องฆ่าลูกสาวของเขา และความโกรธแค้นจะทุเลาลง เมื่อสหรัฐถอนฐานทัพออกไปจากญี่ปุ่น และว่า ตราบใดที่ยังมีฐานทัพสหรัฐ เหตุการณ์เลวร้ายจะคงเกิดขึ้นต่อไป
ขณะเดียวกัน มีการชุมนุมที่บริเวณด้านนอกของอาคารรัฐสภาในกรุงโตเกียว โดยกลุ่มผู้ประท้วงต้องการให้ญี่ปุ่นและสหรัฐล้มเลิกแผนการโยกย้ายฐานทัพ นาวิกโยธินอเมริกันจากพื้นที่ตอนกลางไปอยู่แถบชายฝั่งทางเหนือของเกาะโอกิ นาวา
นายทาเคชิ โอนางะ ผู้ว่าราชการจังหวัดโอกินาวา ซึ่งเข้าร่วมการชุมนุมด้วย ได้คัดค้านแผนการดังกล่าวและต้องการให้ฐานทัพสหรัฐที่ฟูเตนมะย้ายออกไปจาก เกาะ พร้อมกับระบุว่า ทุกวันนี้ญี่ปุ่นยังเป็นอาณานิคมทางทหารของสหรัฐ
ชาวโลกที่ติดตามข่าวทหารมะกันก็จะพบว่าทหารมะกันนี่แหละคือปัจจัยที่ทำให้เกิดความขัดแย้งรอบโลก ไม่เพียงเท่านั้น มะกันไปตั้งฐานทัพอยู่ที่ไหน เหล่าทหารหาญก็ไม่ค่อยใส่ใจวัฒนธรรมท้องถิ่น ข่มขืนสาวชาวบ้านเขาก็บ่อย ชาวบ้านที่เคยอยู่สงบร่มเย็นก็หวาดผวา ในที่สุด ชาวญี่ปุ่นก็รวมพลัง ครั้งใหญ่ออกมาขับไล่ฐานทัพมะกันออกจากเกาะโอกินาวาอีกครั้ง ครั้งหนึ่ง ชาวไทย ก็เคยรวมพลังขับไล่มาแล้ว คราวนี้ เป็นทีญี่ปุ่น และหวังว่าคราวต่อไป จะเป็นคิวของพี่น้องชาวฟิลิปปินส์บ้าง