5 สัญญาณชี้ว่าคุณอาจมีระดับสติปัญญาสูงกว่าคนทั่วไป

นึกไม่ออกว่าอาการขี้วิตกกังวลนั้นดีอย่างไรแต่มีหลักฐานชี้ว่าก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายไปซะหมด จิตแพทย์เจเรมี คอปแลนได้ศึกษาผู้ที่เป็นโรควิตกกังวลพบว่าผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงที่สุดจะได้คะแนนไอคิวสูงกว่าผู้ที่มีอาการรุนแรงน้อยกว่า ขณะเดียวกันยังพบอีกว่าผู้เข้าร่วมการทดลองที่มีอาการวิตกกังวลรุนแรงจะมีสมาธิและสามารถบริหารงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ คราวหน้าถ้ามีใครบอกว่าให้เลิกคิดมากได้แล้วก็จงตอบกลับไปว่าพอดีฉลาดเกินไปก็เลยคิดมากแบบนี้แหละ

2. เริ่มอ่านหนังสือได้เร็ว

มีการทดลองฝาแฝดแท้จำนวน 2,000 คู่พบว่าแม้พวกเขาจะมียีนส์เหมือนกันแต่ฝ่ายที่เริ่มอ่านหนังสือได้ก่อนจะมีคะแนนไอคิวสูงกว่าพี่น้องของตัวเอง อย่างไรก็ตามกลุ่มนักวิจัยสรุปว่าอันที่จริงแล้วการอ่านหนังสือได้เร็วนั้นเป็นผลมาจากพัฒนาการซึ่งทำให้เด็กๆฉลาดขึ้น ดังนั้นหากคุณเริ่มอ่านหนังสือได้เร็วก็อาจไม่ได้หมายความว่าคุณฉลาด แต่อาจเป็นเพราะคุณฉลาดอยู่แล้วก็เลยอ่านหนังสือได้เร็ว

3. ถนัดซ้าย

บรรดาครูที่พยายามบังคับนักเรียนที่ถนัดมือซ้ายให้เปลี่ยนไปเขียนด้วยมือขวาอาจทำให้สติปัญญาของพวกเขาถดถอย มีการศึกษาหนึ่งพบว่าผู้ที่ถนัดซ้ายจะมีแนวคิดแตกต่างจากคนอื่นโดยเฉพาะเพศชายซึ่งเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงความฉลาดหลักแหลม

4. เรียนรู้ดนตรีตั้งแต่เด็ก

มีการศึกษาจำนวนมากพบว่าดนตรีจะช่วยส่งเสริมทักษะทางด้านภาษาและการบริหารซึ่งเกี่ยวข้องกับสมาธิและการควบคุมตนเอง จากการทดลองของจิตแพทย์ซิลเวน โมเรโน่ ได้ให้เด็กจำนวน 48 คนอายุระหว่าง 4-6 ปีเข้าร่วมการฝึกโดยใช้คอมพิวเตอร์เป็นเวลาวันละ 1 ชั่วโมง 5 วันต่อสัปดาห์ติดต่อกันนาน 4 สัปดาห์ เมื่อเสร็จสิ้นการฝึกเด็กครึ่งหนึ่งจบการฝึกทางด้านดนตรีและอีกครึ่งหนึ่งจบทางด้านทัศนศิลป์ ปรากฏว่าร้อยละ 90 ของเด็กที่จบการฝึกทางด้านดนตรีมีพัฒนาการในเรื่องภาษา ดังนั้นถ้าคุณเริ่มเรียนดนตรีตั้งแต่เด็กก็ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดี

5. เป็นคนตลก

การวิจัยแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์อย่างชัดเจนระหว่างการเป็นคนตลกและการได้คะแนนสูงทั้งในความฉลาดทางด้านภาษากับการหาเหตุผลทางนามธรรม เชื่อหรือยังว่ามุกตลกคือผลผลิตของความหลักแหลม ดังนั้นต่อจากนี้ไปเชิญเล่นมุกให้เต็มที่กันไปเลย! และหากแม้ว่าคุณจะไม่มีคุณสมบัติข้อใดที่ตรงกับรายการเหล่านี้เลยก็ไม่ได้หมายความว่าคุณไอคิวต่ำ แต่หากตรงกับคุณเป็นส่วนใหญ่ก็เป็นไปได้ว่าคุณมีสติปัญญาฉลาดกว่าคนทั่วไป

Blogger : Dr. Travis Bradberry

Source : huffingtonpost.com