เผยแล้วหนุ่มใหญ่ที่อ้างเป็นตำรวจนครปฐมกรณีเก๋งชนท้ายรถตู้ ที่แท้ "เป็นผู้ป่วยทางจิต"
วันที่ 29 พ.ค. เพจเฟซบุ๊ก “ตำรวจภูธรจังหวัดนครปฐม หน่วยงานราชการ” ได้ระบุว่า
ด้วยเมื่อวันที่ 27 พ.ค.59 เวลาประมาณ 16.40 น. ได้มีการเผยแพร่ คลิปวีดีโอ ในสื่อออนไลน์ กรณีชายสองคนโต้เถียงกัน เนื่องจากเหตุรถชนกันนั้น โดยชายผู้ขับรถยนต์เก๋ง ทะเบียน กธ-9323 นครปฐม ได้อ้างว่าตนเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ และได้พูดจาข่มขู่คู่กรณีอีกฝ่ายโดยใช้ถ้อยคำไม่สุภาพ ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองนครปฐมทราบเรื่องดังกล่าวและไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้ทำการตรวจสอบข้อเท็จจริงและสืบทราบว่าชายคนดังกล่าวที่อ้างตนว่าเป็นตำรวจนั้น ชื่อ นายสามารถ แก้วบุบผา อายุ 50 ปี ที่อยู่ 940 ถ.ทหารบก ต.พระปฐมเจดีย์ อ.เมืองนครปฐม จ.นครปฐม ประกอบอาชีพเป็นลูกจ้างประจำตำแหน่งพนักงานพิมพ์ดีดประจำสำนักงานสรรพากรภาค 6 (นครปฐม) จึงเชิญตัวนายสามารถฯ มาให้การ โดยนายสามารถฯ ให้การว่าในเหตุการณ์ดังกล่าวนั้น รถยนต์ของตนได้ไหลไปชนท้ายรถตู้คู่กรณีจริง ประกอบกับญาติของนายสามารถฯ ให้การว่า นายสามารถฯ มีอาการป่วยทางประสาท และกำลังรักษาอยู่ที่สถาบันประสาทวิทยาอย่างต่อเนื่อง หากนายสามารถฯ โมโหจะควบคุมตนเองไม่ได้ จะมีอารมณ์รุนแรงและใช้ถ้อยคำรุนแรงด่าทอผู้อื่น หากไม้ได้มีอารมณ์โกรธหรือโมโห ก็จะเหมือนคนปกติทั่วไป
เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองนครปฐม จึงสอบปากคำ ตรวจสอบประวัติ และทำการเปรียบเทียบปรับนายสามารถฯ ในข้อหา ทำให้ผู้อื่นเกิดความกลัวหรือความตกใจโดยการขู่เข็ญ และทำการว่ากล่าวตักเตือนนายสามารถฯ และแจ้งให้ญาติควบคุมดูแลนายสามารถฯ ไม่ให้ออกมาขับรถอีก อีกทั้งคู่กรณีอีกฝ่ายไม่ได้ติดใจเอาความแต่อย่างใด เนื่องจารถยนต์ที่ชนกันทั้งสองคันมิได้เกิดความเสียหาย
จากกรณีดังกล่าว เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองนครปฐม และผู้บังคับบัญชา ขอขอบคุณ ประชาชนทุกท่านที่เข้ามาแสดงความคิดเห็นในทุกๆ ด้าน เป็นเหมือน กระจกเงาสะท้อนการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจในการตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจให้เกิดความถูกต้องและความเป็นธรรมแก่ประชาชน
เจ้าหน้าที่ตำรวจ ขอชี้แจงให้ประชาชนทุกท่านทราบถึงข้อเท็จจริงดังกล่าวนี้ และขอความเห็นใจให้แก่นายสามารถฯ ซึ่งมีอาการป่วยทางประสาท และกำลังรักษาอยู่ที่สถาบันประสาทวิทยาอย่างต่อเนื่อง และนายสามารถฯ ได้กล่าวขอโทษถึงคู่กรณีอีกฝ่ายที่ตนได้ใช้ถ้อยคำรุนแรง ไม่สุภาพ และขอโทษเจ้าหน้าที่ตำรวจทุกท่านที่ได้แอบอ้างตนว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทำให้เกิดความเสื่อมเสียแก่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และจะไม่ให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นอีกต่อไป