สะพรึง!! เปิดตำนานสัปเหร่อข่มขืนศพกว่า 100 ศพ แต่เรื่องที่น่าสยองกว่านั้นคือสภาพศพที่นายคนนี้ชำเรา
เคนเนธ ดักลาส ผู้ที่ชำเราศพกว่า 100 ศพในเวลา 16 ปี
ในปี 1982 เจ้าหน้าที่ชันสูตรศพได้พบคราบอสุจิอยู่ในร่างกายของคาเรน เรนจ์เหยื่อที่ถูกฆาตกรรม แต่ฆาตกรกลับให้การปฏิเสธว่าไม่ได้ลงมือข่มขืนเธอ และเจ้าของคราบอสุจินั้นก็ยังคงเป็นปริศนามา 20 กว่าปี แต่ในท้ายที่สุดก็ได้มีการพิสูจน์ได้ว่าน้ำเชื้อดังกล่าวนั้นเป็นของนายเคนเนธ ดักลาส ผู้ช่วยในห้องเก็บศพที่โอไฮโอนั่นเอง หลังจากนั้นความจริงอันน่าขนลุกก็ถูกตีแผ่ โดยมีการเปิดเผยว่าเรนจ์นั้นเป็นเพียงแค่ศพหนึ่งในกว่า 100 ศพ ที่โดนนายดักลาสข่มขืนกระทำชำเรา ตลอดระยะเวลา 16 ปีที่เขาทำงานในห้องเก็บศพในเขตแฮมิลตันแห่งนี้
เมื่อเริ่มนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ามาใช้ก็ทำให้พนักงานสืบสวนสามารถระบุถึงที่มาของคราบอสุจิที่พบในเหยื่อฆาตกรรมตั้งแต่ปี 1982 รายดังกล่าวได้ และหลังจากที่รู้ว่าใครเป็นคนข่มขืนศพของเรนจ์ เด็กสาววัย 19 ปี ทางครอบครัวของเธอก็ได้ดำเนินการฟ้องร้องดักลาส นอกจากนี้ก็ยังมีศพที่ถูกกระทำชำเราอีกสองศพซึ่งต่อมาได้ถูกนำมาเชื่อมโยงกับดักลาสชายแก่อายุ 60 ปีผู้นี้ ในที่สุดเขาก็ได้ออกมายอมรับว่าได้ทำการร่วมเพศกับ “ศพกว่า 100 ศพ” จริง เขาอ้างว่าตัวเขา “แค่ขึ้นไปคร่อมบนตัวศพแล้วก็ถอดกางเกงออกเท่านั้นเอง” ถ้าเขาได้ก๊งเหล้าหรือพี้ยาก่อนจะไปทำงาน “แต่ถ้าผมไม่ได้ดื่มอะไรตอนที่ผมทำงาน ผมก็ไม่ทำอะไรแบบนี้หรอก” ดักลาสกล่าว
ปัจจุบันดักลาสได้ถูกดำเนินคดีในข้อหากระทำชำเราศพเพียงแค่สามรายเท่านั้น เนื่องจากตรวจพบดีเอ็นเอของเขาที่ศพเหล่านั้น ทางเว็บไซต์กอว์เคอร์ได้รายงานว่า หนึ่งในสามศพดังกล่าวเป็นหญิงวัย 24 ปี ซึ่งพลัดตกจากหน้าต่างชั้น3 ซึ่งศพของเธอเกือบจะหัวขาดด้วยซ้ำ ไม่รู้ว่านายคนนี้ไม่รู้สึกสะอิดสะเอียนกับสภาพศพเลยหรือ?
ตามรายงานในเว็บไซต์ข่าวและเรื่องราวเกี่ยวกับอาชญากรรม (Crime library) กามวิตถารที่ชอบร่วมเพศกับศพนั้นเป็นอาการที่รู้สึกว่าศพเหล่านั้นมีแรงดึงดูดทางเพศ ซึ่งคาดว่าน่าจะมีแรงกระตุ้นจากการที่ผู้ป่วยต้องการเป็นคนควบคุมกิจกรรมทางเพศนั้นเอง จึงได้พิสมัยคู่นอนที่ไม่สามารถขัดขืนหรือปฏิเสธเขาได้ โดยปกติแล้วกามวิตถารประเภทนี้มักได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นความผิดปกติทางบุคลิกภาพ แต่ก็มีผู้ป่วยประมาณ 10% ที่ถูกระบุว่าเป็นพวกวิกลจริต สตีเฟ่น เจ ฮัคเกอร์ จิตแพทย์ที่ค่อยให้คำปรึกษาผู้ป่วยกล่าวว่ามีคนสังเกตหาอาการผิดปกติแบบนี้ย้อนไปในอดีต ซึ่งก็ได้พบว่ามีบันทึกเกี่ยวกับชายชาวอียิปต์หลายคนซึ่งรอจนกระทั่งศพของภรรยาพวกเขาเริ่มเน่าเปื่อยก่อนถึงจะส่งศพให้กับผู้ดูแล เพื่อช่วยยับยั้งภารกิจที่ไม่เป็นที่ยอมรับนี้ เนื่องจากการปฏิบัติกามกิจอันต้องห้ามนี้มักกระทำในที่ลับตาคน ดังนั้นจึงเชื่อว่าผู้ที่ป่วยเป็นโรคกามวิตถารนี้น่าจะมากกว่าที่บันทึกทางสถิติเอาไว้อย่างแน่นอน