ประชาคมโลกหวังชาวโรฮิงญาจะมีสถานภาพดีขึ้นภายใต้รัฐบาลซูจี
ประชาคมโลกหวังชาวโรฮิงญาจะมีสถานภาพดีขึ้นภายใต้รัฐบาลซูจี
สหประชาชาติ (ยูเอ็น) และสหภาพยุโรป ตั้งความหวังว่าภายใต้การบริหารงานของรัฐบาลชุดใหม่ของเมียนมา ซึ่งมีพรรคเอ็นแอลดีของนางออง ซาน ซู จี เป็นแกนนำ จะทำให้ชาวมุสลิมโรฮิงญามีสถานภาพที่ดีขึ้นกว่าเดิม
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า นายโฟลเคอร์ เติร์ก ผู้ช่วยข้าหลวงใหญ่ ประจำสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นเอชซีอาร์) ระบุว่า ในขณะที่ใกล้จะถึงช่วงสิ้นสุดฤดูกาลลักลอบขนส่งผู้อพยพข้ามอ่าวเบงกอล จะเห็นได้ชัดว่าตัวเลขผู้อพยพที่เดินทางออกจากเมียนมา ลดลงอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว เขาเห็นว่ามีปัจจัยหลายอย่างที่เกื้อหนุนให้เป็นเช่นนั้น รวมทั้งการที่ผู้คนมีความหวังว่า รัฐบาลใหม่ของเมียนมาจะมีความเข้มแข็งในการปราบปรามการลักลอบค้ามนุษย์ ขณะที่การค้นพบหลุมฝังศพชาวโรฮิงญาที่ชายแดนไทย-มาเลเซียเมื่อปีที่แล้ว ยังสร้างความตกตะลึงให้ผู้คนอยู่
รอยเตอร์รายงานว่า ก่อนหน้านี้พรรคเอ็นแอลดีซึ่งอยู่ระหว่างจัดตั้งรัฐบาลและจะเข้ารับหน้าที่ในวันที่ 1 เม.ย.นี้ ถูกวิพากษ์วิจารณ์ที่ไม่ได้แสดงท่าทีชัดเจนเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับชาวโรฮิงญาในรัฐยะไข่ ซึ่งปัจจุบันยังอาศัยอยู่ในค่ายผู้อพยพราว 140,000 คน
ด้านนายเคซุส ซันซ์ เอกอัครราชทูตและหัวหน้าคณะผู้แทนสหภาพยุโรป (อียู) ประจำประเทศไทย บอกกับรอยเตอร์ว่า การเปลี่ยนแปลงของเมียนมาไปในทางที่ดีขึ้น เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้จำนวนผู้อพยพลดน้อยลง อย่างไรก็ดี ยังต้องรอดูว่ารัฐบาลชุดใหม่ของเมียนมาจะควบคุมสถานการณ์และสร้างโอกาสให้ผู้อพยพได้รวดเร็วเพียงใด
ทั้งนี้ อียูให้การสนับสนุนทางการเงิน ในการจัดการค่ายผู้อพยพบริเวณชายแดนไทย-พม่า ซึ่งปัจจุบันมีผู้ลี้ภัยอาศัยอยู่ราว 100,000 คน
ด้านแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้บรรจุเรื่องการให้การคุ้มครองแก่ผู้อพยพ ผู้ลี้ภัย และการวางนโยบายโดยให้ความสำคัญกับสิทธิมนุษยชน เป็นวาระสำคัญอันดับต้นในการประชุมระดับรัฐมนตรีของกระบวนการบาหลี (Bali Process) ครั้งที่ 6 ซึ่งออสเตรเลียและอินโดนีเซียจะร่วมกันเป็นเจ้าภาพจัดขึ้นที่เกาะบาหลี ระหว่างวันที่ 22-23 มี.ค.นี้ โดยเมื่อปีที่แล้วเพียงปีเดียว ยูเอ็นเอชซีอาร์ประเมินว่ามีผู้อพยพและลี้ภัยโดยการเดินทางทางทะเลในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างน้อย 33,600 คน