โดนโรงเรียนไล่ออก เพราะแต่งงานตอน ม.5 สาวชัยภูมิ สู้เพื่อแม่ จนได้กำเงินหลักล้าน

     โดนชาวบ้าน นินทาอยู่หลายปี หาว่าเธอใจแตก ท้องในวัยเรียน เพราะดันถูกจับแต่งงานทั้งๆ ที่ยังเรียนหนังสือไม่จบชั้นมัธยมปลาย สำหรับสาวแกร่งวัย 22 ปี ภูมิลำเนาจากจังหวัดชัยภูมิ เจ้าของเฟสบุ๊ค > Miew Ceo Charming หรือ หมิว นุสรา สัยรังกา ที่ แม้ว่าชีวิตนี้เธอจะไม่มีใบปริญญาเรียนจบการศึกษาเหมือนกับคนอื่นๆ แต่เธอกลับมีใบปริญญาชีวิต จนทำให้เธอประสบความสำเร็จ และได้จับเงินหลักล้าน พร้อมกับการขึ้นแท่นเป็น CEO แบรนด์ Charming ที่ กลายเป็นผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหน้าที่กำลังมาแรง และติดตลาดอย่างรวดเร็วในปีนี้ และที่สำคัญในอนาคตอันใกล้ความเป็น Charming ของแบรนด์ และตัวของเธอ จะทำให้แบรนด์ Charming เติบโตไปสู่ถนนสาย AEC ได้อย่างแน่นอน

     “ตัวหมิวเป็นเด็กบ้านนอก เรียนหนังสืออยู่ที่ จ.ชัยภูมิ อ.แก้งคร้อ ครอบครัวของหมิวพ่อแม่แยกทางกัน แต่หมิวก็ไม่ได้เป็นเด็กมีปัญหาอะไรนะคะ มีชีวิตเหมือนเด็กปกติทั่วไป แล้วหมิวจะสอบได้ที่ 1 มาตลอด จนมาช่วง ม.ปลาย แม่ตกงาน มีปัญหาทางด้านการเงิน ตอนนั้นหมิ วเพิ่งขึ้น ม.5 แล้วทางบ้านก็อยากให้แต่งงาน เพราะถ้าแต่งงานทางฝ่ายของสามีเขาก็จะช่วยดูแลครอบครัวหมิวได้ ตอนนั้นหมิวเครียดมาก เลยไปปรึกษากับอาจารย์ที่โรงเรียน ว่าหมิวจะแต่งงานได้ไหม อาจารย์เขาก็บอกว่าแต่งได้ แต่ต้องแต่งแบบเล็กๆ เงียบๆ แล้ววันแต่งงานอาจารย์หลายๆ ท่านก็มางานแต่งหมิวด้วย แต่เอาเขาจริงๆ งานแต่งก็ค่อนข้างใหญ่ คนรู้เยอะมากๆ แล้วพอช่วงเปิดเทอมไปเรียน ชื่อหมิวไม่มีในรายชื่อในวิชาต่างๆ หมิวก็สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น หมิวก็เลยไปปรึกษาท่านรอง ผอ. ท่านก็บอกว่าถ้าหมิวยังเรียนที่นี่ต่อ เขากลัวหมิวจะอึดอัด ดูไม่ดีในสายตาคนในโรงเรียน แล้วเขาเลยเอาหมิวไปฝากไว้เข้าที่โรงเรียนอื่น

     จริงๆ ตัวหมิวเองก็เข้าใจนะคะ ว่าการแต่งงานตอนที่เราเรียนหนังสืออยู่ มันอาจจะเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะไม่ควร ในสายตาของใครหลายๆ คน แต่ทางครอบครัวหมิว มีความจำเป็นจริงๆ แล้วตอนนั้นหมิวก็ไม่ได้ท้องด้วย แต่เรื่องแบบนี้มันก็หนีไม่พ้นขี้ปากชาวบ้านชาวช่อง ทุกๆ คนคิดว่าหมิวต้องเป็นเด็กใจแตก ที่แต่งงานเพราะต้องท้องแน่นๆ ตอนแรกๆ หมิวก็ซีเรียส เพราะกลัวชาวบ้านจะมองไม่ดี ทั้งตัวหมิวและแม่ แต่แม่กลับไม่ซีเรียสเลย แถมแม่ยังให้กำลังใจหมิวด้วยซ้ำ

     จากนั้นหมิวก็ไปเรียนหนังสือที่โรงเรียนใหม่ แต่เส้นทางไปโรงเรียนมันเข้าไปลึก และเดินทางลำบากมาก สุดท้ายหมิวก็เลยตัดสินใจลาออก มาช่วยสามีทำธุรกิจขายโทรศัพท์มือถือ แต่ก็ยังเรียน กศน. จนได้วุฒิการศึกษามา ตอน นั้นเราไม่รู้เรื่องการขายของอะไรเลย ก็ค่อยๆ มาเรียนรู้จากสามี พอได้มาขายของจริงๆ หมิวกลับรู้สึกชอบมาก เพราะมันได้เงิน ตัวหมิวจะรู้สึกดี มีความสุขทุกๆ ครั้ง เวลาหมิวได้ให้เงินแม่ ได้เห็นรอยยิ้มของแม่ หลังจากที่แม่ทุกข์ใจมานาน แล้วหมิวก็มาตั้งท้องช่วงต้นๆ ปี 2555 แล้วคลอดน้องเดือนตุลาคม แต่หมิวแต่งงานเดือน พฤษภาคมปี 2554 คือกว่าหมิวจะท้อง ก็ข้ามปีมาแล้ว ตอนนั้นคนที่เอาหมิวไปนินทาหาว่าท้องตอนเรียนหนังสือ ก็เงิบกันไปหลายคน แต่หมิวก็ไม่สนใจ ไม่แคร์ขี้ปากคนพวกนี้ เพราะทุกวันนี้คนที่เขาเคยเอาหมิวไปพูดเสียๆ หายๆ ชีวิตเขาก็ไม่ได้ดีขึ้น อาจจะเป็นเวรเป็นกรรม ที่เขาเคยว่าหมิวในทางไม่ดีก็ได้

     พอหมิวเริ่มขายของเป็น หมิวก็หันมาขายของทางออนไลน์ ด้วยการไปรับเสื้อผ้า รับเครื่องสำอางที่ติดตลาดมาขาย แล้วก็ขายดีมาก จน มีคนมารับของจากหมิวไปขายด้วย จนหมิวรู้สึกว่าหมิวพร้อมที่จะทำผลิตภัณฑ์เป็นของตัวเอง หมิวก็ปรึกษากับสามีว่าจะทำดีไหม กลัวว่าทำไปแล้วมันจะขาดทุน แต่สามีหมิวเขาก็บอกทำไปเลย ก็ลองผิด ลองถูกไปก่อน เพราะจะได้เป็นการพิสูจน์ตัวเอง ว่าเราจะสามารถทำเหมือนคนอื่นได้ไหม ตอนแรกที่จะทำก็คิดว่าจะตั้งชื่อแบรนด์อะไรดี สุดท้ายก็เอาชื่อว่า CHARMING ก็คือชื่อของลูกสาวของหมิว แล้วตัวหมิวก็ชอบคำๆ นี้อยู่แล้ว ทุกครั้งเวลาได้ยินคำนี้ หรืออ่านเจอคำนี้ที่ไหน หมิวจะนึกถึงลูกสาวตลอดเวลา ว่าคนเป็นแม่อย่างเราต้องทำทุกๆ อย่างเพื่อเขา เพราะเขาเป็นแรงบันดาลใจ และทุกสิ่งทุกอย่างของชีวิตหมิวกับสามี

     ล่าสุดทางผลิตภัณฑ์ CHARMING เพิ่งจะได้รับรางวัล ธุรกิจและผลิตภัณฑ์ดีเด่นแห่งปี 2559 หมิวกับสามีรู้สึกภูมิใจมากๆ เพราะเราเดินทางมาได้ไม่ไกลมาก ทำมาได้แค่ 3-4 เดือน เราถือว่าเป็นน้องใหม่ในวงการ แต่ก็เป็นที่ยอมรับของทุกๆ คน ทุกวันนี้เรามีตัวแทน ดีลเลอร์ ที่ไว้วางใจ CHARMING เยอะเกินความคาดหมาย และอนาคตก็จะขยายฐานไปยังกลุ่มตลาด AEC หลายๆ คนที่ร่วมงานด้วยกัน เขาก็ถามหมิวว่า เป็นน้องใหม่ในตลาดแบบนี้ ไม่กลัวโดนกลั่นแกล้งบ้างหรอ สมัยนี้มีแต่พวกขี้อิจฉากันนะ หมิวก็บอกว่าหมิวไม่กลัว เพราะหมิวไม่เคยทำร้ายใคร เราอยู่กับตัวแทน เราอยู่กันแบบพี่ๆ น้องๆ มีอะไรก็คุยกัน ปรึกษากันตลอด หมิวอยู่ได้ ตัวแทนก็ต้องอยู่ได้ด้วยเช่นกัน โลกใบมันไม่มีใครหนีพ้นคำนินทา หรือการโดนกลั่นแกล้ง แต่ขึ้นอยู่กับตัวเราว่าจะรับมือ และอยู่กับมันให้ได้ยังไง”