อูจุง กูลอน ที่มั่นสุดท้ายของแรดชวา (Ujung Kulon The last stronghold of Javan Rhino)
ฝูงวัวป่าขนสีน้ำตาลแดงและเล็มหญ้ากลาง ทุ่ง โดยมีจ่าฝูงตัวผู้ขนสีน้ำตาลอมดำร่างกำยำยืนมองไปทางดงไม้เป็นระยะ เพื่อระวังภัยจากเสือดาวที่อาจซุ่มรอโจมตี นกยูงส่งเสียงร้องดังแว่ว ชะนีขนเงินโหนตัวตามยอดไม้ ขณะที่ในลำน้ำกลางป่า มีร่างของหนึ่งในสัตว์ใหญ่ที่หายากที่สุดของโลกว่ายน้ำอยู่ช้าๆ มันคือแรดชวานั่นเอง
อุทยานแห่งชาติอูจุง กูลอน ตั้งอยู่ทางปลายด้านตะวันตกเฉียงใต้ของเกาะชวา ในจังหวัดบันเตน ประเทศอินโดนีเซีย พื้นที่ของอุทยานอยู่บนคาบสมุทรที่ทอดยาวไปในมหาสมุทรอินเดีย โดยนอกจากพื้นที่บนเกาะชวาแล้วอุทยานยังครอบคลุมส่วนหมู่เกาะนอกชายฝั่งรวม ทั้งเขตอนุรักษ์ธรรมชาติเกาะการากาตั้วซึ่งเป็นที่ตั้งของภูเขาไฟการากาตั้ว ที่เคยมีการระเบิดครั้งใหญ่ในปี ค.ศ. 1883 อุทยานแห่งนี้มีเนื้อที่รวม 1,261 ตารางกิโลเมตร โดยแยกเป็นส่วนผืนน้ำ 443 ตารางกิโลเมตร
แต่เดิมพื้นที่ของคาบสมุทรอูจุง กูลอนมีประชากรอาศัยอยู่ค่อนข้างหนาแน่น ทว่าในปี ค.ศ. 1883 เมื่อภูเขาไฟกรากาตั้วเกิดการระเบิดอย่างรุนแรงส่งผลให้เกิดคลื่นยักษ์กวาด ล้างหมู่บ้านตามชายฝั่งและเกาะโดยรอบ ทำให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 36,000 คน และเกิดเถ้าถ่านปกคลุมทั่งพื้นที่โดยรอบ หนากว่าหนึ่งฟุต
ความรุนแรงของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ ประชาชนที่เหลือรอด อพยพออกไปเป็นอันมากทิ้งให้พื้นที่ดังกล่าวกลายเป็นเขตรกร้างซึ่งต่อมาในปี ค.ศ. 1980 พื้นที่ดังกล่าวและผืนป่าใกล้เคียงก็ถูกประกาศให้เป็นอุทยานแห่งชาติ
ภูมิประเทศของอูจุง กูลอน ประกอบด้วยป่าดิบที่ลุ่มต่ำ ทุ่งหญ้า ป่าชายเลน ชายหาดและทะเล ซึ่ง เป็นที่อยู่ของสัตว์ป่าหลายชนิด เช่น วัวแดงชวา ชะนีขนเงิน ค่างชวา เสือดาว นกยูง นกเงือก กวางรูซ่า หมาใน นอกจากนี้ ที่นี่ยังเป็นที่มั่นสุดท้ายของสัตว์ป่าที่หายากที่สุดชนิดหนึ่งของโลก นั่นคือ แรดชวา
แรดชวามีชื่อเป็นทางการคือ แรดซันไดกัส มันมีลักษณะคล้ายแรดอินเดีย ทว่ามีขนาดเล็กกว่าและผิวหนังเป็นรอยตารางผิดกับแรดอินเดียที่เป็นปุ่มปม รวมทั้งลักษณะรอยพับของหนังที่หลังคอก็มีความแตกต่างกันโดยของแรดชวาจะมี แผ่นหนังลักษณะคล้ายอานม้าอยู่ด้านหลังคอ แรดตัวผู้มีนอเดียว ขณะที่แรดตัวเมียโดยทั่วไป ไม่มีนอ หรือถ้ามี ก็เล็กมาก พวกแรดเป็นสัตว์สันโดษ มักอยู่ตามลำพัง หรืออยู่เป็นคู่เท่านั้น
ในอดีต แรดชวา เคยอาศัยอยู่ทั่วไปในเกาะชวา จนถึงแหลมมลายู เรื่อยขึ้นไปถึงพม่า ไทย ลาว กัมพูชาและเวียตนาม จนถึงจีนตอนใต้ ทว่าการล่าเพื่อมุ่งหวังนอและอวัยวะอื่นๆ ที่มีราคาแพง เนื่องจากมีความเชื่อว่า เป็นส่วนประกอบของยาแผนโบราณที่สำคัญและมีคุณสมบัติทั้งในการบำรุงสมรรถภาพ ทางเพศไปจนถึงรักษาโรคร้ายได้สารพัด ส่งผลให้ประชากรแรดถูกล่าจนลดจำนวนลงและสูญพันธุ์ไปจากหลายพื้นที่ กระทั่งเมื่อสิ้นศตวรรษที่ 20 ก็เหลือแรดชวาอยู่ในสองพื้นที่คือ ป่าสงวนคาเตียน ของเวียตนามและอุทยานแห่งชาติ อุจุงกูลอน ของอินโดนีเซีย ทว่าการลักลอบล่าของพรานเถื่อนยังคงล้างผลาญประชากรของแรดอย่างต่อเนื่อง
และในปี ค.ศ. 2010 แรดในเวียตนามตัวสุดท้ายก็ถูกพรานเถื่อนสังหาร ทำให้แรดชวาสูญพันธุ์ไปจากแผ่นดินใหญ่โดยสิ้นเชิง โดยเหลือเพียงประชากรกลุ่มสุดท้ายในอุทยานแห่งชาติ อุจุง กูลอนเท่านั้น ซึ่งจากการสำรวจพบว่า ปัจจุบันมีประชากรแรดชวาอยู่ที่นี่ราวห้าสิบตัวโดยถือว่าสถานการณ์ของพวกมัน นับว่าเข้าขั้นวิกฤตเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์เป็นอย่างยิ่ง ทำให้ต้องมีการจัดเจ้าหน้าที่คอยเฝ้าระวังอย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันการลักลอบล่าสัตว์หายากชนิดนี้
นอกจากแรดชวาแล้ว ที่นี่ยังเป็นแหล่งอาศัยสำคัญของวัวแดง ซึ่งเป็นสัตว์ป่าหายากอีกชนิดหนึ่ง โดยปัจจุบันมีวัวแดงอาศัยอยู่ในป่าธรรมชาติไม่เกิน 8,000 ตัว ซึ่งที่อุทยานอูจุง กูลอน ถือเป็นแหล่งที่มีประชากรวัวแดงอยู่มากที่สุด โดยวัวแดงที่นี่เป็นวัวแดงพันธุ์ชวา ซึ่งมีลักษณะเด่นคือวัวตัวผู้เมื่อโตเต็มวัยจะมีขนสีน้ำตาลเข้มอมดำขณะที่ ตัวเมียจะมีสีน้ำตาลแดง ศัตรูตามธรรมชาติของวัวแดงที่นี่ ได้แก่ เสือดาวและหมาใน ขณะที่เสือโคร่งซึ่งเคยมีอยู่บนเกาะชวาได้สูญพันธุ์ไปหมดตั้งแต่ปลายศตวรรษ ที่ 20 แล้ว
จากความสำคัญของอูจุง กูลอน ในฐานะเขตคุ้มครองสัตว์ป่าหายากและแหล่งรวมความหลายหลากทางนิเวศน์วิทยา ทำให้ องค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ ยูเนสโก (United Nations Educational, Scientific, and Cultural Organization : UNESCO) ประกาศให้อุทยานแห่งนี้เป็นมรดกโลกในปีค.ศ. 1991 แม้ว่าการเป็นมรดกโลกอาจไม่ได้เป็นหลักประกันว่า สัตว์ป่าและผืนป่าแห่งนี้จะคงอยู่ตลอดไป ทว่าอย่างน้อย ตรามรดกโลกที่ได้รับ ก็อาจช่วยให้อูจุง กูลอน มีความสำคัญมากพอที่จะต้านทานกระแสการพัฒนาและรุกรานธรรมชาติที่เพิ่มมาก ขึ้นเรื่อยๆ และนัั่นคงทำให้โลกยังมีคงมีแหล่งพักพิงสำหรับสัตว์ป่าหายากอย่างแรดชวาต่อ ไป