ตัดให้ขาดเลย ชั๊บชั๊บชั๊บ! ปชป.สุดเอือม อเปหิ ท่านชายสุขุมพันธุ์?

พรรคประชาธิปัตย์สุดทนตัดขาด “สุขุมพันธุ์” หลังให้เวลาแก้ปัญหาทุจริตใน กทม. แต่หาข้อยุติไม่ได้ ประกาศจากนี้ไปการบริหารงาน กทม.ถือเป็นเอกเทศ พรรคไม่ร่วมรับผิดชอบและไม่ร่วมกิจการทางการเมืองด้วย “จุติ” รับตัดสินใจไม่ใช่เรื่องหมูๆ ระบุสถานะรองหัวหน้าพรรคยังอยู่ รอเจ้าตัวตัดสินใจ “องอาจ” หวังทีมงาน กทม.สลัดผลประโยชน์โบกมือลาเสาชิงช้า โฆษกฯ ชายหมูย้อนถามเป็นมติพรรคหรือส่วนบุคคล ซัดมีบางฝ่ายสร้างเรื่องให้นายกฯ ใช้ ม.44 ปลดผู้ว่าฯ

ที่พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) เวลา 10.00 น. วันที่ 21 มกราคม นายจุติ ไกรฤกษ์ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมด้วยนายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรค กทม. ร่วมกันแถลงจุดยืนต่อความรับผิดชอบของพรรคประชาธิปัตย์ ต่อการบริหารงาน กทม. ของ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทมหานคร (กทม.) ว่า หลังจากที่พรรคให้เวลา ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์แก้ปัญหาการทุจริตต่างๆ มาพอสมควรในการปรับวิธีคิดและแนวทางการทำงาน แต่ก็ไม่สามารถหาข้อยุติได้ ดังนั้นเพื่อให้เกิดความชัดเจนต่อสมาชิกพรรคและประชาชนชาวกทม. พรรคขอแสดงจุดยืนที่ชัดเจนว่า ต่อไปนี้พรรคไม่สามารถแสดงความรับผิดชอบร่วมกับการทำงานของกทม.อีกต่อไป และไม่สามารถดำเนินการกิจการทางการเมืองร่วมกัน

“พรรคเปิดทางให้ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ตัดสินใจตามทัศนคติตนเอง เพราะถึงเวลาที่ต้องให้ผู้ว่าฯ กทม.รับผิดชอบต่อการบริหารงานของตัวเอง ซึ่งพรรคขอขอบคุณที่เคยมีผลงานกับพรรคและประเทศ หวังว่าจะประสบความสำเร็จในการบริหารงานตามทัศนคติของตัวเอง และขอย้ำว่า พรรคไม่มีการโกรธเคืองใดๆ กับ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ เพียงแต่มีมุมมอง ทัศนคติที่แตกต่างกัน เพื่อความสบายใจของทั้งสองฝ่าย พรรคเปิดโอกาสให้ กทม.ตัดสินใจในการแก้ไขปัญหาแล้ว จึงถึงเวลาให้ท่านได้รับผิดชอบต่อการแก้ไขปัญหาของท่านเอง แต่ก็ขอขอบคุณม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ที่มีผลงานที่ดีให้กับพรรคและประเทศ และการตัดสินใจครั้งนี้ไม่เกี่ยวกับกระแสข่าวชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรคและเรื่องเงินสนับสนุน แต่เป็นเรื่องการเคารพระบบพรรค”

เลขาธิการพรรค ปชป.กล่าวว่า ตามข้อบังคับพรรค ผู้บริหารท้องถิ่นจะต้องรับฟังแนวทางของพรรคด้วย โดยการทำงานร่วมกันเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนทั้งด้านประสิทธิภาพ ความโปร่งใส ในการบริหารงานของผู้บริหาร กทม. เพื่อให้มีการตรวจสอบได้อย่างเป็นระบบ อันนำไปสู่การแก้ไขปรับปรุงเพื่อประโยชน์ประชาชน แต่เมื่อไม่สามารถดำเนินการได้ พรรคจึงต้องรับผิดชอบทุกคะแนนเสียงที่ประชาชนไว้วางใจ โดยจากนี้ไป การบริหารของ กทม.ถือเป็นการดำเนินการโดยเอกเทศของ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ เพราะพรรคไม่สามารถใช้ระบบและกลไกในการสนับสนุนติดตามตรวจสอบการทำงานของ กทม.ได้ พร้อมกับขอโทษชาว กทม.ด้วย

“เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องหมูๆ ที่จะตัดสินใจ โดยที่ผ่านมามีความพยายามประสานงานโดยตลอด แต่ไม่ประสบผลสำเร็จ จนมาถึงวันนี้ ส่วนบุคลากรของพรรคที่ไปทำงานร่วมกับ กทม. ก็ต้องตัดสินใจเอาเองว่าจะทำอย่างไร และยังบอกไม่ได้ว่าการตัดสินใจดังกล่าวจะมีผลต่อการคัดเลือกผู้สมัคร ส.ส.ในอนาคตหรือไม่ เนื่องจากขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของแต่ละคน โดยในขณะนี้ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ยังถือเป็นรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์อยู่ เพราะพรรคไม่สามารถเปิดการประชุมได้ แต่จะตัดสินใจลาออกหรือไม่ ขึ้นอยู่กับท่านจะพิจารณาเอง ยืนยันว่าเรื่องนี้เป็นเพียงความความคิดเห็นที่แตกต่างในการทำงาน ไม่ใช่เป็นความแตกแยก เมื่อไม่สามารถประชุมพรรคได้ รวมถึงสมาชิกทั้งประเทศและใน กทม.อยากได้ความชัดเจน เราจำเป็นต้องแสดงจุดยืนของพรรค” นายจุติ กล่าว

ด้านนายองอาจกล่าวเสริมว่า หลังจากที่ตนได้รับมอบหมายให้ไปสำรวจความเห็นของสมาชิกพรรคในกรณีนี้แล้ว ก็มีทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่เห็นด้วย และเรื่องนี้พรรคไม่ได้เสียเวลาไปกับการทำงานของ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ เพราะเป็นเรื่องปกติในการทำงานที่มีทั้งสำเร็จและไม่สำเร็จ แต่เรื่องที่เกิดขึ้นไม่ใช่ครั้งแรกของพรรค ที่ผ่านมาพรรคเคยมีมติขับนายพิพัฒน์ ลาภปรารถนา ส.ก.บางรัก ออกจากการเป็นสมาชิกพรรค จากกรณีเข้าชิงตำแหน่งประธาน ส.ก.แข่งกับนายสมชาย เวลารัชตระกูล ส.ก.เขตสายไหม ทั้งที่พรรคมีมติให้ส่งรายชื่อเดียวมาแล้ว แต่กรณีของ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ไม่สามารถที่จะเปิดประชุมได้ จึงเพียงแต่แสดงจุดยืนของพรรคให้ประชาชนรับทราบ แต่หาก ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ไม่ลาออกจากรองหัวหน้าพรรค และพรรคสามารถเปิดประชุมได้ จะมีการพิจารณาเรื่องนี้ต่อไปอย่างไรนั้น คงตอบไม่ได้ เพราะยังไม่ทราบการตัดสินใจของ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ โดยเชื่อว่าการตัดสินใจครั้งนี้จะไม่กระทบต่อความสัมพันธ์ภายในพรรค หรือทำให้มี ส.ส.แยกตัวออกจากพรรคไป และการตรวจสอบต่างๆ ก็จะดำเนินการตามปกติ

ส่วนกรณีคนของพรรคที่ไปร่วมบริหารงานกับ กทม. อาทิ นางผุสดี ตามไท รองผู้ว่าฯ กทม. และนายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี ที่ปรึกษาผู้ว่าฯ กทม. ควรจะมีการพิจารณาตนเองด้วยหรือไม่ นายองอาจกล่าวว่า เชื่อว่าบุคคลเหล่านั้นจะมีวิจารณญาณเป็นของตนเองว่าจะพิจารณาอย่างไร จะเลือกผลประโยชน์ส่วนตนเป็นหลัก หรือผลประโยชน์ของประชาชน อนาคตทางการเมืองของบุคคลเหล่านี้จะเป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่ว่าเขาจะตัดสินเลือกฝั่งใด

ต่อมา นายวสันต์ มีวงษ์ โฆษกประจำตัวผู้ว่าฯ กทม. กล่าวว่า จากกรณีดังกล่าวสิ่งที่ต้องพิจารณาเบื้องต้น ต้องดูว่าการแถลงข่าวของพรรคประชาธิปัตย์ในครั้งนี้ เป็นมติในนามของพรรค หรือเป็นเรื่องส่วนบุคคล เนื่องจากพรรคเป็นองค์กร มีกรรมการบริหารพรรคเพื่อขับเคลื่อนการทำงาน จึงไม่แน่ใจว่าการแถลงครั้งนี้เกิดขึ้นในนามพรรคอย่างแท้จริงหรือไม่ และไม่ทราบว่าสาเหตุของการแถลงเกิดจากเหตุผลใด สำหรับกรณีที่ระบุว่าพรรคไม่สามารถติดต่อกับผู้ว่าฯ กทม.ได้นั้น ตนเห็นว่าที่ผ่านมางานต่างๆ ทั้งกิจกรรมปั่นเพื่อแม่ ปั่นเพื่อพ่อ หรืองานสำคัญๆ ก็ยังมีการติดต่อกันอยู่เสมอ แต่บางกรณีก็ยังอยู่ภายใต้คำสั่ง คสช. ซึ่งกำหนดให้ห้ามมีการประชุมหรือมีการเคลื่อนไหวทางการเมืองของพรรคการเมืองต่างๆ ซึ่งตัวผู้ว่าฯ กทม.ต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย จึงไม่กระทำการใดๆ ที่เป็นการฝ่าฝืน

โดยเฉพาะพรรคประชาธิปัตย์ ที่มีอุดมคติว่าทุกฝ่ายควรปฏิบัติตนภายใต้กฎหมาย ซึ่งหากมีการประชุมใดๆ ก็จะเป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย แล้วพรรคจะอธิบายกับสังคมต่อไปได้อย่างไร ส่วนกรณีที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค ไม่สามารถติดต่อสื่อสารกับผู้ว่าฯ กทม.ได้นั้น เชื่อว่าตัวหัวหน้าพรรคและผู้ว่าฯ กทม.ต้องมีการติดต่อพูดคุยถึงกรณีต่างๆ กันอยู่เสมอ

“ผู้ว่าฯ กทม.ปฏิบัติหน้าที่มาเป็นระยะเวลากว่า 7 ปี ซึ่งที่ผ่านมาก็มีการตรวจสอบการทำงานอยู่เสมอ แต่ช่วงที่ผ่านมากลับมีการกล่าวหาผู้ว่าฯ กทม.ในการทำงาน ซึ่งข้อกล่าวหาส่วนใหญ่ล้วนเป็นเรื่องในอดีตที่นำกลับมาพูดซ้ำเพื่อให้เกิดความเสียหาย จึงเชื่อว่าเป็นเพราะบางฝ่ายพยายามในการสร้างเรื่องเพื่อให้นายกรัฐมนตรีใช้กฎหมายมาตรา 44 เพื่อปลดผู้ว่าฯ กทม.ออกจากการทำงาน แต่เกิดจากเหตุผลใดนั้นก็ไม่ทราบได้ ซึ่งการกล่าวหาต่างๆ ผู้ว่าฯ กทม.ไม่มีการตอบโต้ใดๆ เพราะได้พูดอยู่เสมอว่าการกระทำการใดๆ ต้องคิดถึงพรรคเป็นหลัก พรรคประชาธิปัตย์มีบุญคุณ และทุกคนในพรรคล้วนเป็นพี่น้องของผู้ว่าฯ ทั้งสิ้น” นายวสันต์กล่าว

นายวสันต์บอกว่า ขณะนี้ผู้ว่าฯ กทม.อยู่ระหว่างปฏิบัติหน้าที่ ในงานลงนามความร่วมมือระหว่างเมืองพี่เมืองน้อง (sister city) กับเมืองลิสบอน ประเทศโปรตุเกส ระหว่างวันที่ 18-22 ม.ค.59 ซึ่งเมื่อกลับมาเชื่อว่าผู้ว่าฯ ก็จะกลับมาทำงานเช่นเดิม เพราะหลักการทำงานของผู้ว่าฯ กทม. คือตั้งใจทำงานเพื่อประชาชน ไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์ใดๆ ขึ้นก็ตาม

ด้านนางผุสดี ตามไท รองผู้ว่าฯ กทม. กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่รู้เรื่องดังกล่าว และยังไม่ได้อ่านรายละเอียด เพราะการจะพูดอะไรต้องดูที่มาและสาระก่อน โดยในวันนี้ต้องลงพื้นที่ชุมชนกว่า 500 ชุมชน จึงขออนุญาตและจะขอให้คำตอบในภายหลัง
ด้านนายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี ที่ปรึกษาผู้ว่าฯ กทม. กล่าวว่า ตนไม่มีความเห็นเรื่องนี้ คงต้องคุยกับ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ก่อน ซึ่งยังไม่ได้คุยกัน

ส่วนนายวิลาศ จันทร์พิทักษ์ อดีต ส.ส.กทม.พรรคปชป. กล่าวว่า ตนไม่ทราบว่ามติของกรรมการบริหารพรรคล่วงหน้า แต่ความเห็นส่วนตัวก็คือในเมื่อพรรคติดต่อ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ไม่ได้ ก็ต้องแสดงท่าทีอะไรออกมาอย่างใดอย่างหนึ่ง เพราะคนเลือกผู้ว่าฯ กทม.ในนามพรรคประชาธิปัตย์ และมีคนกล่าวหาเรื่องการประสานงาน ซึ่งพรรคก็พยายามจะติดต่อ แต่ก็ไม่สามารถติดต่อประสานงานกันได้ เวลาก็ล่วงเลยมา 3 เดือนแล้ว ก็จำเป็นที่จะต้องแสดงท่าทีอย่างใดอย่างหนึ่ง เพราะจะปล่อยให้บรรยากาศขมุกขมัวแบบนี้ก็ไม่ดี

"ผมทำหน้าที่ตรวจสอบในฐานะอดีตกรรมาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ที่ได้รับการร้องเรียนมา เมื่อพฤติกรรมแบบนี้ไม่ถูกกฎหมาย และส่อว่าทุจริต คล้ายๆ กับผมเป็นผู้กล่าวหา ขณะที่พรรคเป็นองค์กรที่ดูแลผู้ว่าฯ กทม.อยู่ แต่กลับแก้ไขปัญหาไม่ได้ ก็จำเป็นต้องมีทางออก เพื่อแสดงความรับผิดชอบ ซึ่งพรรคไม่มีทางเลือก การจะแสดงความรับผิดชอบมากกว่านี้ทำไม่ได้ เพราะหากจะมีมติอะไรที่รุนแรงมากกว่านี้จ ะต้องมีการประชุมพรรค แต่ คสช. ไม่ให้เปิดประชุม ก็ไม่มีทางเลือกอื่น ก็ทำได้แค่นี้" นายวิลาศกล่าว

นายวิลาศกล่าวว่า ท่าทีของพรรคในการตัดขาดกับม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ คิดว่าก็จบง่ายๆ ดี ต่อไปนี้ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ จะทำอะไรก็รับผิดชอบของคุณเอง ตามที่พรรคได้แถลง คนไหนชมหรือด่า กทม.ก็รับไปเองแล้วกัน และถ้า ป.ป.ช.และสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ไปตรวจสอบพบว่าการทำงานของ กทม.ไม่โปร่งใส กทม.ก็รับไปคนเดียวแล้วกัน พรรคไม่เกี่ยวข้อง.