วิจัยใหม่ของม.ปรินซ์ตันบ่งชี้ว่าสหรัฐอเมริกาไม่ใช่ประชาธิปไตย แต่กลายเป็นคณาธิปไตยเพื่อผลประโยชน์คนกลุ่มน้อย

การละเลยต่อสภาพความเป็นอยู่ของชนชั้นกลางนั้นมีให้เห็นอย่างต่อเนื่องไม่ว่าจะเป็นการเกิดความเหลื่อมล้ำโดยนโยบายทางเศรษฐกิจที่ทำให้ชนชั้นกลางยากจนลงด้วย "ตลาดการค้าเสรี" การปล่อยให้ซุปเปอร์มาร์เก็ต
เต็มไปด้วยอาหารคุณภาพต่ำราคาถูก เมื่อกินแล้วก่อให้เกิดโรคมากมาย ทั่วท้องถนนเต็มไปด้วยอาวุธปืนที่หาซื้อกันได้อย่างเสรี แม้แต่โครงสร้างประกันสุขภาพก็บิดเบี้ยวไปจากเดิม

ในภาวะที่เกิดคณาธิปไตยนี้นั้นก่อให้เกิดความสิ้นหวังในหมู่ผู้คน เพิ่มความยากลำบากในการหางานเพื่อเลี้ยงดูตนเองและครอบครัวและถึงแม้จะหางานได้ก็เกิดภาวะบีบคั้นต่อวิถีชีวิต ไม่ว่าจะเป็นด้านสุขภาพ จิตใจ ด้วยการบีบให้ทำงานหนักเพื่อประโยชน์ขององค์กรขนาดยักษ์แต่เพียงฝ่ายเดียว

สำหรับผู้ที่ไม่ได้เข้าสู่ระบบดังกล่าวจะเป็นการตีตราว่าขี้คร้านสันหลังยาว และไม่คู่ควรต่อการมีชีวิตอยู่ สื่อต่างๆในประเทศล้วนแล้วก่อให้เกิดความแตกแยกต่อชาติพันธุ์และศาสนา นักการเมืองในสภาเพิกเฉยต่อระบบการศึกษา เอาแต่ออกนโยบายหนุนบริษัทยักษ์ทิ้งให้เยาวชนสหรัฐฯอยู่ในภาวะโง่เขลาเบาปัญญาและอ่อนแอไปตามยถากรรม

สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นมานานแล้ว คนอเมริกันบางกลุ่มจำนวนเพียง 20 คนมีการครอบครองทรัพย์สินเท่ากับครึ่งนึงของพลเมืองในประเทศ ไม่ว่าคนอเมริกันจะเลือกผู้นำพรรคไหนขึ้นมาก็ไม่อาจจหลุดพ้นสภาพของคณาธิปไตยดังกล่าวได้

ภาพลักษณ์ของความรุ่งเรืองแห่งอเมริกันชนหลังชนะในสงครามโลกครั้งที่ 2 นั้นได้จบสิ้นลงไปนานแล้วจากนโยบายต่างๆ ที่หลอกผ่านธรรมเนียมการหย่อนบัตรเลือกตั้งกลวงๆ