'เต้น' ส่งเพลง “ไสว่าสิบ่ถิ่มกัน” ให้จนท. คสช.สั่งถอนกำลังจากหน้าบ้าน!!! “วินธัย” ปัดสร้างกระแส
(6ธ.ค.58) นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ โพสต์คลิปผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวกรณีเจ้าหน้าที่ทหารถอนกำลังเฝ้าประจำการที่พักส่วนตัว รวมถึงกรณีพล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกฯ ระบุการปล่อยคลิปของนายณัฐวุฒิทำ เพื่อสร้างกระแสความไม่สงบทางการเมือง โดยนายณัฐวุฒิ ระบุว่า ขณะนี้ไม่มีรถทหารประจำการที่พักแล้ว เนื่องจากคสช. สั่งลดระดับการควบคุม และยืนยันว่าการปล่อยคลิปไม่ได้สร้างกระแสทางการเมือง แต่ทำในฐานะพ่อเนื่องจากลูกสาวโดนเจ้าหน้าที่ตามติดไปถึงโรงเรียน นอกจากนี้ได้ขออภัยไปยังเจ้าหน้าที่ทหารชั้นผู้น้อย หากทำกิจกรรมใดแล้วสร้างความอึดอัดใจขณะปฏิบัติหน้าที่ และถามถึงเจ้าหน้าที่ระดับสูงที่ออกคำสั่งถอนกำลังทหารออกจากหน้าบ้านจะรับผิดชอบกับแฟนเพลงอย่างไร เพราะขณะนี้มีคนขอเพลงมาจำนวนมาก จากนั้นนายณัฐวุฒิ ได้ร้องเพลง “ไสว่าสิบ่ถิ่มกัน” ของก้องหล้า ยอดจำปา ส่งถึงเจ้าหน้าที่ระดับสูง ด้วย
นายณัฐวุฒิ ยังกล่าวกรณีทหารยกเลิกการเฝ้าติดตามบริเวณหน้าบ้านว่า คสช.สั่งถอนกำลังจากหน้าบ้านตนเป็นเรื่องดีและไม่ควรมีพฤติกรรมเช่นนี้กับใครอีก ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายเดียวกับตนหรือฝ่ายตรงข้าม การที่พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษกคสช.อ้างเหตุผลว่าที่ต้องยกเลิก เป็นเพราะตนสร้างกระแสทางการเมือง ต้องทำความเข้าใจเสียใหม่ นี่ไม่ใช่การเมืองแต่เป็นการต่อสู้ของพ่อที่ลูกถูกคุกคามถึงโรงเรียน เพื่อแสดงให้เห็นว่าอำนาจที่ใช้โดยไม่ชอบธรรม เป็นเรื่องตลกในสายตาของคนที่ไม่รู้สึกกลัว
“อยากให้พ.อ.วินธัย ตั้งสติดีๆ แล้วสอบถามไปที่ ปตอ.พัน3 ว่าส่งทหารมาที่บ้านผมหรือไม่ ถ้าไม่ใช่ทหาร ผมจะได้ทราบว่ามีกองโจรที่ไหนก็ไม่รู้มาเฝ้าหน้าบ้าน ที่บอกว่าออกจากบ้านผมไป 5 วันแล้วไม่รู้ใครไปหลอกพ.อ.วินธัย ผมจะถือว่าท่านพูดเพราะไม่รู้ ถ้ารู้แล้วพูด ก็ถือว่าท่านไม่ฉลาด” นายณัฐวุฒิ กล่าวและว่า ตนมีหลักฐานทั้งภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหวที่บันทึกวันเวลาไว้ ยืนยันได้ว่าผลัดสุดท้ายที่ไปเฝ้าฯคือ รถเชฟโรเล็ต สีขาว ไม่ติดป้ายทะเบียน ออกจากหมู่บ้านประมาณ 18.00 น. วันที่ 4 ธ.ค. รถที่ใช้มาที่บ้านทั้งกระบะและรถเก๋งทุกคันพยายามปกปิดป้ายทะเบียน แต่ผมถ่ายภาพเก็บได้บางคันในวันแรกๆ ที่ไม่เอามาเปิด เพราะเห็นใจเจ้าของรถ ถ้าพ.อ.วินธัยสนใจตนจะส่งให้ และเชื่อว่าชายชาติทหารรักในศักดิ์ศรี ใครรับผิดชอบปฏิบัติการนี้ต้องบอกความจริงกับพ.อ.วินธัยด่วน อย่าให้กลายเป็นโฆษกที่หลับหูหลับตาให้สัมภาษณ์แบบนี้