ขอเถียง!!! ใครว่าชีวิตแอร์ดี๊ดี..เรื่องเล่าจากแอร์สาวสวย (อ่านสนุกมาก!)
เป็นเรื่องราวที่กำลังได้รับความสนใจอย่างมากเมื่อมีแอร์สาวคนสวยมาตั้งกระทู้หัวข้อว่า “เรื่องเล่าแอร์โฮสเตสตะวันออกกลาง ฝันที่เป็นจริงหรือภาพลวงตา” ผู้ตั้งกระทู้คือ คุณ สมาชิกหมายเลข 2698846 โดยเรื่องราวมีอยู่ว่า…
สไตล์เจ้าของกระทู้ก็เช่นเคย.. ชอบเล่ายาวววมากๆ ถ้าใครอ่านจบ เก่งมาก ^ ^
ด้วยความที่กระแสสมัครแอร์โฮสเตสนั้นล้นหลามมาก แต่เมื่อเราถามน้องๆที่รู้จัก หลายคนยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าเนื้องานในอาชีพนี้เป็นอย่างไร จริงๆสิ่งหนึ่งที่ดึงดูดใจให้คนจำนวนมหาศาลหลงไหลในอาชีพนี้ก็คือ “ภาพแห่งความสวยงาม” ซึ่งเราก็เคยเป็นหนึ่งในนั้น
โดยเฉพาะกับสายการบินตะวันออกกลาง ที่ให้ค่าตอบแทนสูง และคุณภาพชีวิตที่ดี นอกจากภาพลักษณ์ที่ดูอินเตอร์ แต่บางครั้ง สิ่งเหล่านั้นอาจไม่สามารถตอบโจทย์ความสุขของชีวิตเราได้อย่างแท้จริงก็เป็นได้
ย้อนกลับไปสมัยที่เราไปเรียนพิเศษเตรียมแอร์ เห็นพี่ที่มาสอนบางคนบินเพียง 3 ปี บางคน 7 ปี ก็ลาออก เราก็งง “กว่าจะได้มาซึ่งการเป็นแอร์มันช่างยากลำบาก ทำไมพี่ๆเหล่านี้จึงตัดสินใจลาออกกัน เสียดายแทนจริงๆ” ถ้าเป็นเราได้เป็นแอร์น่ะเหรอ.. เราจะบินตลอดไป ไม่ออกง่ายๆหรอก”
แต่หลังจากบินมา 7 ปี ตอนนี้ เราก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ลาออก
ในสมัยตอนที่บินแรกๆ เรางี้หุบยิ้มไม่ได้เลย เดินในเคบินแล้วเหมือนคนบ้า เพราะมันเหมือนฝันเป็นจริง ได้ใส่ยูนิฟอร์มเดินผ่านผู้โดยสารเป็นร้อยๆ และทุกสายตามองมาที่เรา เฮ้ย.. เราเป็นแอร์ว่ะ ได้ดูแลผู้โดยสาร เสิร์ฟคนนั้น ทักทายคนนี้ ยืนแป้นแล้นเซย์กู๊ดบายผู้โดยสาร วันนี้ปารีส อีก 2 วันลอนดอน อาทิตย์หน้าเจนีวา
มันช่างเจิดจรัสยิ่งนัก! เรียกง่ายๆ งานนี้ทำได้จนตายเลยว่างั้นเถอะ
ส่วนชีวิตที่อาบูดาบีน่ะเหรอ.. ใครว่าเหงานี่เถียงตายเลย ชีวิตที่นี่หรูหรา ออกจะเรียบง่ายจะตาย เราเหล้าก็ไม่กิน ผับก็ไม่เที่ยว อยู่ที่นี่ก็ไม่เห็นจะมีปัญหาอะไร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ที่พักนี่ยิ่งใช่ ไปอยู่ 4 เดือนแรก ที่พักลูกเรือตึกใหม่ยังสร้างไม่เสร็จ เราก็เลยลาภลอยได้ไปอยู่ที่โรงแรมกึ่งอพาร์ทเมนต์ห้องสวีทในระหว่างที่รอ คือมันชีวิตดีเกินคนอายุ 23 จะได้รับมาก ณ จุดนั้น
จำได้ว่า ตอนเดินเข้าไปในห้องครั้งแรกนี่ถ่ายรูปใหญ่เลย เอาล่ะสิ.. ใหญ่จัง ห้องนอน ห้องรับแขก ห้องครัว ห้องน้ำ ทุกอย่างดูดี มี Room Service ทำความสะอาดให้
นี่มันไม่ใช่นางฟ้าแล้ว.. นี่มันเจ้าหญิงชัดๆ เราคิดเพ้อในใจ ชีวิตแบบนี้ มีรถรับส่งพร้อม ยูนิฟอร์มก็ส่งซักแห้งฟรี หน้าที่เราคือแค่ไปส่ง และไปรับชุดมาใส่ แต่งหน้าสวยๆไปทำงาน แค่นี้เอง! ง่ายจัง
แล้วเมื่อเทรนเสร็จ ตารางบินก็ออก ทุกคนกรี๊ดกร๊าดเปรียบเทียบตารางกัน คนนั้นไปนู่น คนนี้ไปนี่ เรานี่ไม่ได้มองหาไฟลท์กรุงเทพเลยนะ เพราะตื่นเต้นกับการไปยุโรป จิตใจตอนนั้นแข็งแกร่งดุจหินผา ไม่โฮมซิคอะไร ก็อยากจะไปเที่ยว อยากจะเห็นโลกกว้าง ว่าไป..
อืมม.. มีไฟลท์ทดลองงาน 5 ไฟลท์นี่นา เค้าไม่ได้ให้ไปทำงาน แค่ไปสังเกตการณ์ มันคงไม่มีอะไร บริษัทนี้ช่างใจดีอะไรเช่นนี้
ตื่นเต้นมากมาย เจอไฟลท์แรกไปมัสกัต ประเทศโอมาน โอ๊ยย.. สนุก นั่งในห้องกัปตันตอนเครื่องขึ้นเครื่องลง ถ่ายวิดีโอเก็บไว้ เพื่อนร่วมงานหลายชาติมากเลย ทำไมมันทั้งอินเตอร์ ทั้งกิ๊บเก๋อย่างนี้ หัวเราะร่วน อารมณ์ดี
กลับมานอน ส่งเมสเสจไปเล่าให้เพื่อนร่วมคลาสเมาท์มอย และชิลล์
ดูไฟลท์ถัดมามีอะไร อาบูดาบี-เดลฮี ง่ายๆ เก๋ๆนี่นา ไป 3 ชั่วโมง นอนพักที่โรงแรม InterContinental ในเมือง 7 ชั่วโมง แล้วบินกลับ 3 ชั่วโมง งานอะไรให้เรานอนกลางวันอย่างนี้นะ! ไม่ต้องเครียดเลย ถึงเวลาก็ไปรอรถ
ผ่าง! เปิดประเดิมด้วยลูกเรือทั้งทีมเป็นฝรั่ง อังกฤษ(ซึ่งสำเนียงฟังยากจัง)ไปเกือบครึ่ง และไฟลท์ก็เต็ม
พอเริ่มไฟลท์ นึกว่าจลาจล มันยุ่งจนไม่รู้จะแทรกตัวไปทางไหน มีแต่คนกดเรียกลูกเรือเต็มไปหมด ไฟงี้พรึ่บอย่างกับปีใหม่ คนนู้นจะเอายาแก้ปวดหัว คนนี้จะเอาผ้าห่ม อีกคนขอน้ำ อีกคนขอบ่น เฮ้ย.. ทำไมทุกคนใจร้อนหยั่งงี้ รอกันไม่ได้เลยรึไง
ณ จุดนั้น ด้วยความเป็นคนดี ลูกเรือขอให้ช่วย จึงเข้าไปช่วย ไม่รู้ไปช่วยหรือไปถ่วง เพราะทำทุกขั้นตอนที่ตามเทรนมา แต่คือในความเป็นจริงมันไม่ทัน ลูกเรือฝั่งตัวจริงเสิร์ฟไปสี่คน เรายังพินอบพิเทาตามที่เรียนมา ยังเสิร์ฟไม่เสร็จซักคน ของก็ขาดตลอด วิ่งส่งน้ำแข็ง เติมไก่กันยุ่งกว่าที่เราเคยจินตนาการไว้พอดู
อ่ะ.. ไม่เป็นไร ดูเหมือนจะไร้ค่า งั้นไปช่วยอย่างอื่นแทน ช่วยตอบคนที่กดปุ่มเรียกแอร์ก็ได้ พี่คนนี้กดถี่เหลือเกิน เมื่อเดินไปถาม ผู้โดยสารชายท่านนั้นก็บอกจะขอเบียร์ ซึ่งเป็นกระป๋องที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ ทั้งๆที่ก็เพิ่งจะได้ไปพร้อมอาหาร
ด้วยความที่เคยเป็นอาจารย์มา จิตใต้สำนึกเราก็อยากจะเทศนาพี่แกเหลือเกิน ว่าควรมีมารยาทนะ ควรจะให้เกียรติผู้อื่นที่ยังไม่ได้อาหาร และรู้จักรอให้เป็นบ้าง
แต่พอได้สติ.. ก็รู้ว่าทำไม่ได้ มันช่างขัดกับ Customer Service ยิ่งนัก ยอมรับเลยว่านั่นไม่ใช่ตัวตนเราเลย แต่มันเรียนรู้ได้นี่นา.. คิดว่ายังไงก็ทำได้
เราจึงยิ้มอ่อนและเดินไปหยิบเบียร์มาเสิร์ฟพี่แก
หยิบป๋องเบียร์วางบนถาด และแก้ว เดินฉีกยิ้มออกมาอย่างสง่างาม.. ชายคนนั้นกำลังคุยหัวเราะเสียงดังกับเพื่อนข้างๆอยู่อย่างเมามันจนไม่ได้ยินเสียงเรา เราพยายามเรียก “คุณ คุณ” พี่แกก็ไม่สะทกสะท้าน หัวข้อบทสนทนามันช่างตลกเหลือเกิน
เราจึงตัดสินใจสะกิดไหล่พี่แก ทันใดนั้น ท่านผู้โดยสารก็เอี้ยวตัว 360 องศาด้วยความเร็วสูง ชนกับกระป๋องเบียร์ของเราจนลอยขึ้นที่เก็บสัมภาระเหนือศีรษะและตกลงพื้นไปต่อหน้าต่อตาเรา เบียร์หกเรี่ยราดพื้นพรมไปหมด
10 วินาทีแรกนี่คืออึ้งไป ไฟลท์ที่สองในชีวิต พี่ก็เล่นหนูแล้วเหรอ.. ทั้งโกรธด้วย คิดอยู่ในใจ “พี่ขอโทษเลย พี่ผิด”
เปล่าเลย.. คุณพี่มองไปที่กระป๋องเบียร์ที่หก และเงยหน้ามองเรา แล้วหัวเราะ พี่พูดมาว่า “โอเคน่ะ” ประหนึ่งให้อภัยเราที่ทำของตก แล้วพี่แกก็หันไปคุยและขำต่อ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
วินาทีนั้น ถ้าไม่ได้อยู่ในยูนิฟอร์มนี่ ท่านพี่ผู้นี้คงโดนจัดไปหลายดอก ทุกความคิดประดังประเดอยู่ในหัวเรา อะไรกัน? มารยาทบ้านไหนเนี่ย? ขอโทษไม่เป็นรึไง? ทำไมถึงทำนิสัยแบบนี้นะ?
.. เรายืนสงบ ในขณะที่เบียร์ก็ยังคงไหลออกจากกระป๋องลงพรมต่อไป และผู้โดยสารรอบๆก็ต่างมองมาที่เรา
จ้ะ.. เก็บก็ได้ เก็บก็ได้จ้ะ! แล้วก็ก้มลงเก็บกระป๋องกับแก้วไปทิ้ง เอาทิชชู่กลับมาเช็ดพื้น .. และยังต้องหยิบเอาเบียร์กระป๋องใหม่มาเสิร์ฟพี่แก
ฝืนใจมาก.. เพราะสิ่งที่เรายึดมาตลอดชีวิตคือเหตุและผล คนทำผิดก็ต้องขอโทษ โดยเฉพาะความเป็นอาจารย์ เดินไปทางไหนลูกศิษย์ก็ไหว้ แล้วตอนนี้เรากำลังทำอะไรอยู่?
เดินไปสงบสติชั่วครู่ที่ครัว ซึ่งกำลังโกลาหลกับการเคลียร์ของและเตรียมปิดตู้เครื่องดื่มแอลกอฮอล์เตรียมเครื่องลงกัน ไม่กล้าบ่นเพราะไม่รู้จักใคร แล้วใครจะฟัง คิดปลอบใจตัวเอง โอยย.. ง่าย ก็แค่ขอโทษ เงินเดือนเป็นแสน กินอยู่หรูหราฟรี ทำไมจะทำไม่ได้ เดี๋ยวแป๊ปๆก็ลงเดี๋ยวก็ไปช็อปที่อังกฤษแระ สู้ๆ! แล้วลูกเรือเห็นว่าเราอู้ ก็เลยเดินมาสะกิด และใช้ให้เราเอาน้ำผลไม้ไปเสิร์ฟผู้โดยสารที่ขอเอาไว้
โอเค.. ทำงานๆ
แล้วเสียงกัปตันก็มาช่วยชีวิต เรากำลังจะลดระดับในอีกไม่กี่นาที ได้เวลาถอดผ้ากันเปื้อนและใส่เสื้อแจ็คเก็ตคืนซะที กราบ.. ดีใจ
ในขณะที่เราอมยิ้มเปิดที่เก็บสัมภาระเหนือศีรษะแถวเกือบสุดท้ายเพื่อจะหยิบเสื้อแจ็คเก็ต ซึ่งเราซุกเอาไว้ตามคนอื่น ก็ได้มีมือมือหนึ่งมาแตะที่สะโพกจากข้างหลัง
เราจึงหันไปดู.. อ้าว พี่ผู้ชายกลุ่มเดียวกับผู้โดยกระป๋องเบียร์คนนั้นนี่นา ดูเหมือนพี่ๆจะไม่ยอมจบง่ายๆกันนะคะ ไอ้ใจเราก็อยากจะด่าจนปากสั่น แต่ก็ต้องสะกดอารมณ์เอาไว้ ทำตามที่เทรนมาสดๆ
แต่แล้วพี่ชายท่านนี้กลับหัวเราะและพูดว่า
“ขอเบียร์ป๋องหน่อย”
โอ้โห.. จิตสำนึกดีมาก เราโกรธจนน้ำตาคลอ เลยถามไปว่า “รู้ใช่ไหมว่าไม่ควรแตะเนื้อต้องตัวกันแบบนี้เพราะมันถือว่าเป็นการลวนลามนะคะ?” พี่ชายท่านนั้นก็ตอบมาว่า
“อ๋อ.. โทษที ก็ไม่รู้ว่าจะเรียกยังไงอ่ะ พอดีเรียกเธอแล้วเธอไม่ได้ยิน” แล้วหัวเราะ T.T
จบนะคะ! ไม่ทนละนะคะ.. วิ่ง 4×100 เมตรไปเอาเบียร์มาวางข้างหน้าพี่แกแล้ววิ่งกลับครัวเลย ไม่พูด ไม่คุย ไม่เรียกกันละ ณ นาทีนั้น.. ใครจะใช้อะไรก็จะไม่ออกจากครัวแล้วล่ะ กลัวจนอึขึ้นสมองเลย นี่แค่ไฟลท์ยาว 3 ชั่วโมงนะ ถ้ายาวกว่านี้ เราจะรอดมั้ย? และนี่แค่ขาแรกนะจ๊ะ!
ตัดภาพไปตอนก่อนมาที่พร่ำรำพึงรำพันว่าชีวิตดี๊ดี ดีกว่าทำออฟฟิศมากมาย บินแค่ 3 ชั่วโมงเองให้นอนตั้ง 7 ชั่วโมง เดี๋ยวจะนอนให้พุงกางเลยเชียว
ในความเป็นจริง พอถึงเวลานอนกลับนั่งเหม่อ นี่มันฝันร้ายชัดๆ นั่งคิดกลัวขากลับจับจิต เพราะไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นอีก แล้วเราจะทำยังไง ทั้งเครียด และกลัว ผลสุดท้ายก็ไม่ได้นอน – -”
ค่ำแล้ว ถึงเวลารถมารับ ตางี้โหลเลย.. นั่งรถไปก็สวดมนต์ในใจไป นี่มันไม่สนุกเลย
ลากกระเป๋าขึ้นเครื่องมาปุ๊ป หัวหน้าก็บรีฟรายละเอียดไฟลท์ให้ฟังก่อนจะถามคำถามเกี่ยวกับความปลอดภัยทันที เอ๊ะ.. อะไรนะ? ไฟลท์นี้ไม่เต็ม
สรุป! ขากลับไฟลท์ไม่เต็ม ในใจก็ยังกล้าๆกลัวๆ ขานี้กลับชิลล์ ตั้งแต่ต้นจนจบไฟลท์ ผู้โดยสารเรียบร้อย ไม่มีอะไรเลย สรุปที่กลัวมาทั้งหมดจนนอนไม่หลับ.. เครียดฟรี
เอาละ.. จบไฟลท์ ขึ้นมาบนรถตู้กลับที่พักละ ที่นี่จะมีรถตู้แสตนด์บายรอส่งลูกเรือกลับรอบละ 3-4 คันเพื่อกระจายส่งอย่างรวดเร็ว เป็นเหมือนสิ่งที่เริ่มจะคุ้นตา เมื่อเราเหยียบขึ้นรถตู้ไปปุ๊ป ทุกอย่างพลันเงียบงันปั๊บ ไม่มีใครพูดคุยกัน มองไป แต่ละคนมาจากต่างชาติต่างภาษา และสิ่งที่เกือบทุกคนทำเหมือนกันนั่นคือ เสียบหูฟัง เปิดเพลง และเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง
เป็นเวลาเกือบ 1 ชั่วโมง จากสนามบินก็กลับมาถึงห้อง อืมม.. จบไฟลท์ซะที.. โล่งจัง เรื่องวันนี้ที่เจอมา เครียดติดหมัดง่ะ อยากจะเล่าให้ใครฟังจัง มองไปที่นาฬิกา ตี 1 กว่าแล้ว อยากโทรกลับบ้าน แต่ที่เมืองไทยก็คือตีสี่ มันดึกเกินไปสินะ เอ๊ะ.. หรือจะคุยกับเพื่อน.. แต่เพื่อนอาจมีบินเช้าและนอนอยู่ ไม่รู้ตารางใครเป็นยังไง สมัยนั้นไลน์ก็ไม่มี whatsappก็ยังไม่เกิด มี MSN แต่อยู่โรงแรมก็ไม่มีเน็ต สิ่งเดียวที่จะรับฟังเราได้ในตอนนั้นก็เหมือนจะมีแต่ไดอารี่
เปิดคอม นั่งพิมพ์บ่นลงไปใน Words บนโต๊ะกินข้าวในห้องรับแขก เหลียวมองไปข้างขวาที่ม่านสีทองสูงอลังการ อืมม.. ห้องสวีทนี่เนอะ.. เรายิ้มอ่อน เปิดออกไปดูข้างนอกดีกว่า
เปิดหน้าต่างออกก็เห็นแต่ร้านค้าในตัวอาคารเปิดไฟหน้าร้านทิ้งไว้ สะท้อนให้เห็นชื่อร้านเป็นภาษาอาราบิคและภาษาอังกฤษ เอ.. ที่นี่ไม่มีร้านค้าแผงลอยเหมือนบ้านเราเลยนะ และคนที่เดินผ่านไปผ่านมาไม่มีคนไทยเลยอ่ะ เห็นแต่คนปากีสถานและคนอินเดียเต็มไปหมด นี่เกือบตี 2 แล้ว ทำไมเราไม่หิวเลยนะ เริ่มเพ้อในใจ สงสัยจะเครียดมากเกิน
แต่ต่อให้หิว ก็ไม่มีอะไรขายหรอก อยากกินผัดกะเพราจัง อยากกินส้มตำ อยากกินแกงป่า แต่ใครจะขายล่ะ..
“ทำไมมันช่างเหงาอย่างนี้.. แม่จ๋า ป๊าจ๋า หนูอยากกลับบ้าน”
ไม่เอา ต้องไม่คิดแบบนี้.. งั้นไปนอนดีกว่า อย่าฟุ้งซ่านอีกเลย
เราเป็นคนเก่ง เรามาถึงที่นี่ได้ เราก็ต้องสู้ มีทางเลือกเดียวคือต้องทำงานเก่งให้พ่อแม่ชื่นใจให้ได้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น.. เราต้องจัดการกับมัน
เอาล่ะ.. จบตอนแรก ถือว่าเป็นประสบการณ์ส่วนตัวที่เจ้าของกระทู้เขียนมาแชร์เป็นเกร็ดเรื่องเล่าจากชีวิตจริงนะคะ จะพยายามนึกถึงเหตุการณ์ต่างๆที่ฝังใจและนำมาถ่ายทอดสำหรับคนที่อยากไปเป็นแอร์ที่ต่างประเทศ ว่านี่คือตัวตนเราจริงๆไหม? ความสุขของเราคืออะไร? และอะไรคือสิ่งที่เราจะต้องเผชิญ? นอกเหนือจากความหรูหรา และสวยงามจากภาพภายนอก
ใครที่ชอบเรื่องเล่าจากเจ้าของกระทู้ ฝากติดตามเรื่องต่อๆไปนะคะ ขอลับฝีมือการเขียนและฝากข้อคิดไว้ให้อ่านเล่นในตอนต่อไปค่ะ ^ ^ เจอกันใหม่ในกระทู้เดิมนี้นะคะ
ที่มา : Pantip, Teenee.com
http://pantip.com/topic/34504171
ขอบคุณกระทู้จากคุณ สมาชิกหมายเลข 2698846 สมาชิกเว็บพันทิป