ตอนนี้เป็นเวลา ตี 3 16 นาที ผมเพิ่งจะได้ล้มตัวลงนอนหลังจากให้การกับตำรวจญี่ปุ่นอยู่ สองเกือบสามชั่วโมง…ก็ง่วงมากนะ แต่จะให้มันผ่านเลยไปโดยไม่พูดถึงเลยก็ไม่ได้..สำหรับเหตุการณ์ที่เกือบถูกทำร้ายร่างกาย เมื่อคืนที่ผ่านมา ทึ่โรงแรม Meriken Oriental Hotel….
เรื่องมีอยู่ว่า ประมาณสี่ทุ่มครึ่ง ผมนอนอยู่บนเตียงกำลังจะเคลิ้มหลับ ก็มีโทรศัพท์เข้ามาที่ห้อง เป็นเสียงผู้หญิง พูดภาษาญี่ปุ่นตลอด..ตอนนั้นเข้าใจว่าคงเป็น operator โทรมาผิดห้อง ก็บอกเค้าไปว่า Do you call wrong number?..this is room 910..เค้าก็พูดญี่ปุ่นมาอีก ผมก็เลยวางไป เหมือนเค้าไม่เข้าใจ และผมก็ง่วงมากแล้วด้วย ณ เวลานั้น….จากนั้นประมาณครึ่ง ชม. ก็มีคนมากดกริ่งที่ห้อง ผมเดินออกไป ดูที่ช่องเลนส์ตรงประตูว่าใคร..ผมเห็น ชายญี่ปุ่นแต่งตัวภูมิฐาน ใส่สูทสีครีมอ่อน ผูกไทด์ ใส่แว่นหนา มือถือสมุดบันทึก ตอนนั้นเข้าใจว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของโรงแรม จึงแง้มประตูคุยด้วย…ปรากฎว่าเค้าพูดภาษาญี่ปุ่นกับผมมาอย่างรัวและเร็ว..
ผมตอบไปเป็นภาษาอังกฤษว่าผมไม่เข้าใจหรอก คุณไม่ใช้เจ้าหน้าที่ โรงแรมใช่มั๊ย..และพยายามจะปิดประตู..ปรากฎว่าชายคนนั้นมันเอาเท้ายื่นเข้ามากั้นระหว่างประตูเพื่อไม่ให้ผมปิดประตูได้..แล้วพูดถาษาญี่ปุ่นอะไรอีกเต็มไปหมด..ตอนนั้นผมได้แต่บอกมันว่าผมไม่เข้าใจมันหรอก..ส่วนมือก็ดันประตูจะปิดอย่างสุดแรงเกิด..มันก็ตะคอกใส่ผม..ที่ฟังออกคือมันพูดถึง passport..และพยายามเปิดสมุดของมันให้ผมดู ในนั้นเขียนภาษาญี่ปุ่น ที่อ่านได้มีแค่ “38000 ¥”…ตอนนั้นในใจคิดเลยว่า วันนี้โดนเข้าให้แล้ว ยากูซ่าแน่ มันคงมาไถเงิน ถ้ามันเข้ามาได้ผมตายอย่างเดียว หรือไม่มันก็ต้องหยิบกระเป๋าเงิน กล้อง ไอแพด ซึ่งวางบนโต๊ะด้านใน แล้ววิ่งหนีไป…แต่สภาพตอนนั้นคือ มือถือก็อยู่บนโต๊ะ จะให้ใครช่วยก็ไม่ได้….สรุปคือมือเปล่าทำได้แค่ดันประตู..ยื้อกันเกือบสิบนาที ผมก็คำรามด่าใส่มันทุกอย่าง รวมถึงบอกว่าจะ call police..มันก็ไม่สนทั้งดันทั้งกระแทกประตูจะเข้ามาท่าเดียว ผมก็ทำได้แค่ต้านมันสุดแรง…
ตอนนั้นในใจคิดเลยว่า ห้ามแรงตก รอจนมีคนเดินผ่าน แต่ที่กลัวคือเหลือบไปเห็นมันล้วงกระเป๋า ผมกลัวมันชักปืนหรือมีด เหลือบไปดูในตู้เสื้อผ้าข้างประตูเห็นมีแต่ไม้แขวนเสื้อ..กะไม้สำหรับใส่รองเท้า คิดว่าถ้ามันเข้ามาได้อาวุธก็มีแค่นี้แหล่ะ ถ้าจะตายมันก็ต้องร่อแร่ ไม่ก็ตายไปด้วยกัน หรือหากโชคดี ผมจะอัดมันไม้เลี้ยงด้วยไม้แขวนเสื้อนี่แหล่ะ…ที่กลัวอีกคือกลัวมันโทรเรียกเพื่อนซึ่งผมคงต้านไม่อยู่แน่ๆ….ตอนนี้แรงก็เริ่มหมดจากที่ดันประตูอยู่นาน….หมดหนทางแล้วก็เลยตะโกนเรียกคนช่วย ซึ่งก็ไม่คิดว่าจะมีใครมาหรอก แต่ทางจิตวิทยามันก็คงต้องกลัวมั่งแหล่ะ และรวบรวมกำลังทั้งหมด กระทืบเท้าผมที่มันยื่นมาขัดประตูไว้ รวมถึงดันประตูสุดแรงเกิดจนล็อกได้สำเร็จ….มันเคาะประตูผมอีกเป็นสิบอย่างแรง คงแค้นจัดมากกระมัง…
ผมรีบไปโทรลงไปที่ lobby บรรยายเหตุการณ์ให้เค้าฟังและขอให้ส่ง รปภ ขึ้นมา รวมถึงกดไลน์แจ้งขอความช่วยเหลือไปในกรุ๊ปหมอที่มาประชุมด้วยกัน…15 นาทีผ่านไป ไม่มี เจ้าหน้าที่ โรงแรมคนไหนขึ้นมาเลย แต่โชคดีที่น้องผู้แทนและไกด์ซึ่งผมไลน์แจ้งเดินทางมาจากอีก โรงแรมหนึ่งพอดี…เลยค่อนข้างมั่นใจว่าน่าจะไม่มีอะไรแน่..
มีเสียงเคาะห้องมาอีก…ผมนี่มือขวาถือไม้ที่ใส่รองเท้า มือซ้ายถือไม้แขวนเสื้อไม้ เดินไปส่องดูตรงประตู..ค่อยยังชั่วเป็นน้องผู้แทน กะไกด์ประจำทริปจึงเปิดประตูให้เข้ามา…สักพัก ผู้จัดการ โรงแรมก็ตามขึ้นมา คำพูดแรกเลยคือเค้าบอกว่าจะรับผิดชอบทุกอย่างและยอมรับว่าโรงแรมบกพร่องเรื่องระบบความปลอดภัย…กลุ่มของเราก็หารือกันแล้วว่าควรแจ้งความกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ..จึงแจ้งไปทาง ผู้จัดการโรงแรมว่าช่วยตามเจ้าหน้าที่ให้ด้วย
สักพักใหญ่ๆเจ้าหน้าที่ก็มา 2 นาย มาสอบถามซักถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างละเอียด….ตัวผู้จัดการเองก็จำชายคนนั้นได้ เห็นว่ามากับผู้หญิงคนหนึ่ง เดินก้มหน้าเข้ามา แต่ที่ขึ้นลิฟต์มาคือคนผู้ชาย และเห็นว่าพอลงลิฟต์ก็รีบขึ้นรถออกไปกะผู้หญิงอย่างรีบร้อน…สุดท้ายตำรวจก็ลงไปเอาภาพจากกล้องวงจรปิดมาให้ดูว่าใช่ชายคนดังกล่าวหรือไม่ ผมก็ยืนยันไปว่าใช่แน่ 1000%………..ถึงตอนนี้ เราทุกคนคิดว่าคงจบแล้ว รู้ตัวคนร้ายแล้ว หน้าตาก็ชัดเจนขนาดนั้น….แต่มันไม่ใช่อย่างที่คิดเลยสักนิดครับ…….เจ้าหน้าที่ตำรวจกลับมาบอกกับผมว่า อยากไกล่เกลี่ย ให้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น..เค้าบอกว่าผมก็ไม่ได้บาดเจ็บอะไร ตามกฎหมายญี่ปุ่นเค้ายังตั้งข้อหาไม่ได้…..
ฟังแล้วรู้สึกยังไงกันบ้างครับ ผมตอบเค้าไปว่า ผมต้องแขนขาหักหรือตายซะก่อนหรือเค้าถึงจะไปจับคนร้าย มันคุกคามผมขนาดนี้ เจตนาชัดขนาดนี้…..สุดท้ายตำรวจก็ไม่ทำอะไรจริงๆ ได้แต่บอกว่าขอโทษ เค้าทำให้เราได้แค่นี้แล้วเดินจากไป…..ความรู้สึกตอนนั้นน่ะหรือ…ในความรู้สึกของผมซึ่งชื่นชมความเป็นญี่ปุ่นมาตลอด ผมชอบหลายๆอย่างของความเป็นญี่ปุ่น…แล้วดูแมร่งทำกับผม…อยากบอกมันว่าตอนมันโดน ซึนามิ ผม pray for Japan ให้มันไป 5 พันนะโว้ย กรูก็ไม่ได้มีญาติเป็นคนญี่ปุนซะด้วย…แล้วนี่คนของ...ทำกับกรูแบบนี้...ทำให้กรูได้แค่เนี่ย…..ยังไม่พอ…ความผิดหวังซ้ำสองก็ตามมาอีก….จำได้ใช่ไหมครับ ไอ้ ผจก ที่มันบอกว่าจะรับผิดชอบทุกอย่าง
สุดท้ายมันไปคุยกับตำรวจตั้งนาน เพื่อไม่ให้มีเรื่อง พอตำรวจไป มันไม่รับผิดชอบใดๆทั้งสิ้น กลับจากหน้ามือเป็นหลังตีน…….สรุปคือ ผมก็ย้ายโรงแรมคืนนั้นเลย เพราะไม่มั่นใจเรื่องความปลอดภัยของทางโรงแรมอีกแล้ว จาก
1. ไม่มีกล้องวงจรปิดตาม floor ต่างๆ
2. ลิฟต์ขึ้นได้ไม่ต้องใช้คีย์การ์ด..คนภายนอกจะขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ได้
3. โทรแจ้งเหตุการณ์ว่าถูกคุกคามขนาดนี้ยังไม่มีเจ้าหน้าที่ของทางโรงแรมมาดูแลเลยสักนิด…
เอาครับ เรื่องนี้ต้องไม่จบเพียงเท่านี้ พรุ่งนี้จะไปสถานทูตไทยในโอซาก้าขอความช่วยเหลือ..ส่วนทางโรงแรมก็จะให้ทางบริษัทที่พามาครั้งนี้ดำเนินการฟ้องร้องล่ะครับ…ก็คงทำได้แค่นี้ ที่เล่ามาก็อยากเตือนเพื่อนๆว่าอย่าประมาท ไปไหนต้องระวังตัว ประตูนี่ห้ามเปิดเลยนะครับ ส่องดูแล้วไม่รู้จัก โทรเรียกเจ้าหน้าที่เท่านั้น…ที่สำคัญขอความช่วยเหลือทุกทาง เพื่อนๆที่มาด้วยกันช่วยได้มาก…สตินั้นสำคัญมาก ต้องคิดแก้ปัญหาตลอด….ส่วนผมความรู้สึกดีๆที่เคยมีต่อคนญี่ปุ่นก็คงหมดละครับ..
ขอบคุณภาพ และข้อมูลจาก kratoo.in