UNHCR“ประณาม”ไทยส่งผู้ลี้ภัยชาวจีนกลับจีน แต่เราเห็นว่าประเทศไทยทำถูกแล้ว เพราะอะไร ? โดย ประพันธ์ สานแสงทอง
Ravina Shamdasani โฆษกสำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (the Office of the UN High Commissioner for Human Rights =OHCHR) นครเจนีวาแถลงเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2015 ใช้คำว่า“เป็นห่วงใยอย่างยิ่ง”(deeply concerned)ที่ไทยเนรเทศ 2 คนจีนกลับเมืองจีน
Last updated: 21 November 2015 | 12:58
เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2558 ได้อ่านข่าวสำนักข่าวรอยเตอร์พาดหัวข่าวว่า “ยูเอ็นประณามไทยที่เนรเทศผู้ลี้ภัยชาวจีน” (UN condemns Thai deportation of Chinese refugees) ทำให้น่าสนใจตรงที่ว่า “ไทยถูกประณาม”
ตามเนื้อข่าวระบุว่า UN ประท้วงไทยที่เนรเทศชาวจีน 2 คนซึ่งเป็นผู้ลงทะเบียนไว้ว่าเป็น“ผู้ลี้ภัยอพยพ”(refugees)กลับประเทศจีน โดยที่เขาไม่ควรถูกส่งกลับไป “ประเทศที่เขาอยู่อาศัยซึ่งชีวิตทั้งสองอาจได้รับอันตราย”
ขณะเดียวกันสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (The UN High Commissioner for Refugees) เปิดเผยเมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายนว่า ขณะนี้ทั้งสองอยู่ในขั้นตอนการทำจดหมายคุ้มครองจากยูเอ็น(a UN protection letter) โดยทั้งสองกำลังรอเพื่อจะไปอยู่แคนาดา หลังจากที่แคนาดาตอบรับในฐานะเป็นผู้ลี้ภัยอพยพเรียบร้อยแล้ว
“ทั้งสองรับทราบกันในฐานะเขาเป็นผู้ลี้ภัยอพยพ หมายความว่าเขากำลังได้รับการสัมภาษณ์และยังพบว่าการอ้างของทั้งสองนั้นเป็นที่รับรู้ว่าถูกต้องชอบธรรม”
วิเวียน แทน โฆษกของ UNHCR กล่าวกับผู้สื่อข่าวรอยเตอร์
แม้ว่าจะไม่มีการเปิดเผยชื่อของ 2 ชาวจีนที่ถูกจับ แต่สำนักงานตรวคนเข้าเมืองที่กรุงเทพฯให้รายละเอียดว่าทั้งคู่ชื่อ เจียง ยีฟี(Jiang Yefei)กับ ดอง กวงปิง(Dong Guangping) ทั้งคู่ถูกจับกุมเมื่อวันที่ 28 ตุลาคมและจีนได้ขอให้ส่งตัวกลับประเทศจีน
ฮอง ลี โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีนเปิดเผยว่าการขอตัวกลับเป็นไปตามกฎหมาย แต่ไม่ได้ให้รายละเอียดมากกว่านี้ สถานทูตแคนาดาก็ไม่ได้ให้ความเห็นในเรื่องนี้
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่าไทยกับจีนมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันมากขึ้นหลังเกิดการรัฐประหารปี 2014 การรัฐประหารของทหารได้รับการ“ประณาม”จากประเทศตะวันตก โดยฝ่ายทหารที่คุมอำนาจอ้างว่าได้รับการสนับสนุนจากจีน
ขณะเดียวกันประเทศไทยไม่ได้ลงนามข้อตกลงเจนีวา (the 1951 Geneva Convention) ที่เกี่ยวเนื่องกับสถานภาพของผู้ลี้ภัยอพยพและก็ไม่มีกฎหมายเกี่ยวเนื่องกับผู้ลี้ภัยอพยพ
ขณะที่นายสุนัย ผาสุก นักวิจัยกลุ่ม Human Rights Watch ก็ออกมาร่วมให้ความเห็นกับผู้สื่อข่าวว่า “การส่งคนกลับเมืองจีนนั้นเขาจะถูกทารุณกรรม ประเทศไทยก็ยังทำซ้ำซากเกี่ยวกับผู้ลี้ภัย ถือเป็นสถิติที่แย่”
ข่าวยังระบุว่าไทยเคยเนรเทศกลุ่มมุสลิมอุยกูร์กลับประเทศจีนเมื่อเดือนกรกฎาคม ทำให้สหรัฐฯและประเทศอื่นๆประณามการกระทำของไทย
ขณะที่เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองของไทยเปิดเผยว่าชายสองคนที่ถูกเนรเทศไม่ใช่ชาวอุยกูร์
วิจารณ์-เราเห็นว่าไทยทำถูกแล้ว
หากพิจารณาตามข้อกฎหมายคนเข้าเมืองแล้ว ถือว่าประเทศไทยทำถูกต้องในฐานะเป็นประเทศที่มีอธิปไตยเป็นของตนเอง มีกฎหมายคนเข้าเมืองใช้บังคับ เมื่อใครก็ตามที่เข้าเมืองอย่างผิดกฎหมาย เจ้าหน้าที่ไทยสามารถทำได้ 2 ทาง
1.หากพบเห็นตามชายแดนสามารถผลักดันกลับออกไปได้ทันที
2.เมื่อเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรและถูกจับได้(ถือว่าลักลอบเข้าเมือง) เจ้าหน้าที่ไทยสามารถเนรเทศกลับไปยังถิ่นฐานเดิมได้เช่นกัน ถือเป็นวิธีการปฏิบัติสากล
3.ประเทศไทยไม่ได้ลงนามข้อตกลงเจนีวา 1951 เกี่ยวเนื่องกับผู้ลี้ภัยอพยพ ก็ไม่มีใครจะมาบังคับไทยได้
- นางวิเวียน แทนโฆษก UNHCR “หน้าด้าน” เพราะทั้งสองคนจีน“อยู่ในขั้นตอน”ของการทำจดหมายเพื่อให้ความคุ้มครองจากยูเอ็น แสดงว่าจดหมายนั้นยังไม่เสร็จ ก็ยังไม่มีผล ถึงจะเสร็จแล้วประเทศไทยสามารถใช้กฎหมายของตัวเองได้
5.ประเด็นนี้อาจหมิ่นเหม่ต่อข้ออ้างเรื่อง“สิทธิมนุษยชน”จนถูกประณาม แต่การที่ไทยทำเช่นนี้ก็เพื่อประกาศให้รับรู้ว่าประเทศไทยไม่ใช่ที่หลบซ่อนและใช้เป็นทางผ่านไปสู่ประเทศที่สาม
เหมือนเช่นเมื่อไม่นานมานี้มีปัญหาคนอพยพชาวโรฮิงญา ตามมาด้วยการค้ามนุษย์อันถือเป็นอาชญากรรมที่ทั่วโลกรับไม่ได้ ยิ่งไปขดค้นพบหลุมศพพวกโรฮิงญา ปัญหาก็มาตกหนักที่ประเทศไทย เหมือนคำพูดที่ว่า “เนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่ง แต่เอากระดูกมาแขวนคอ” เมื่อเราทราบเช่นนี้ไทยก็สามารถตัดไฟแต่ต้นลมได้
กรณีของชาวจีน 2 คน ประเทศไทยให้ความร่วมมือเพราะเขามีหมายจับที่ออกโดยเจ้าหน้าที่จีน เพื่อกระชับความสัมพันธ์ไทย-จีน เจ้าหน้าที่ไทยก็ให้ความร่วมมือด้วยการส่งตัวคำร้องขอมา
ก็เหมือนที่ไทยส่งนายวิคเตอร์ บูธ พ่อค้าอาวุธชาวรัสเซียไปให้สหรัฐลงโทษ ก็เพื่อกระชับสัมพันธ์ไทย-สหรัฐ
หรือว่าประเทศไหนที่สหรัฐไม่เห็นด้วยให้ถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน
ถ้าคิดเช่นนี้ ก็ถือว่า“”เอาแต่ได้
ในทำนองเดียวกันกฎหมายคนเข้าเมือง(อิมมิเกรชั่น)ของสหรัฐซึ่งเป็นประเทศที่อ้างว่ามีสิทธิมนุษยชนล้นเหลือก็ปฏิบัติในแนวทางเดียวกันกับประเทศไทย หากไม่เชื่อก็ไปดูตามชายแดนสหรัฐ-เม็กซิโก ตลอดแนวตั้งแต่รัฐแคลิฟอร์เนียไปถึงรัฐเท็กซัส
ทำไมสหรัฐต้องสร้างกำแพงกั้นพรมแดนบางช่วง ทำไมมีหอคอยจับตาดูการเคลื่อนไหวของคนที่จะลักลอบเข้าเมือง ทำไมส่ง Drone ขึ้นตรวจจับ ทำไมมีเจ้าหน้าที่นั่งรถตรวจการออกตรวจตราตามชายแดน
ถามว่าทำไมไม่ให้ปล่อยให้คนยากจนจากอเมริกากลางและละตินอเมริกาเดินเข้าพรมแดนสหรัฐได้อย่างง่ายดาย เพราะอะไร เพราะสหรัฐมีอธิปไตยแห่งดินแดน มีกฎหมาย Immigration ของรัฐบาลกลางบังคับใช้อยู่ใช่ไหม ?
เรื่องนี้ก็อยากให้นายสุนัย ผาสุก นักสิทธิมนุษชนชั้นปลายแถวรับรู้ด้วยว่าแต่ละประเทศมีกฎหมายคนเข้าเมืองใช้บังคับ หากมีกฎหมายแล้วไม่ใช้บังคับจะมีกฎหมายไว้ทำวิมานอะไร หือ ?