จบคดีซานติก้าผับ! ศาลฎีกา พิพากษาจำคุก ไม่รอลงอาญา "เสี่ยขาว" ผู้บริหารซานติก้าผับ
จบคดีซานติก้าผับ! ศาลฎีกา พิพากษาจำคุก
ไม่รอลงอาญา "เสี่ยขาว" ผู้บริหารซานติก้าผับ
ชี้กระทำประมาทเกิดเพลิงไหม้กลางผับคืนส่งท้ายปี51 ตาย67คน บาดเจ็บสาหัส32คน บาดเจ็บอีก71คน พร้อมให้ บริษัทติดตั้งเอฟเฟกต์ ชดใช้เงินญาติคนตาย ผู้บาดเจ็บกว่า5ล้าน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 4 พ.ย.ที่ผ่านมา ศาลอาญากรุงเทพใต้ ได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกา คดีเพลิงไหม้ซานติก้าผับ หมายเลขดำ อ.541/2553,648/2553 และ 753/2553ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้1และญาติผู้เสียชีวิต กับผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ รวม 57 ราย ร่วมกันเป็นโจทก์ ยื่นฟ้องนายวิสุข เสร็จสวัสดิ์ หรือเสี่ยขาว กรรมการผู้จัดการบริษัท ไวท์ แอนด์ บราเธอร์ส (2003)จำกัด ผู้บริหารซานติก้าผับ จำเลยที่ 1,นายธวัชชัย ศรีทุมมา ผอ.ฝ่ายปฏิบัติการ จำเลยที่ 2 , นายพงษ์เทพ จินดา ผจก.ฝ่ายบันเทิง จำเลยที่ 3,นายวุฒิพงศ์ ไวลย์ลิกรี ผจก.ฝ่ายการตลาด จำเลยที่ 4,นายสราวุธ อะริยะ นักร้องวงเบิร์น ผู้จุดพลุไฟจำเลยที่ 5,บริษัท โพกัสไลท์ ซาวน์ซิสเต็ม จำกัด ซึ่งรับจ้างติดตั้งการทำเอฟเฟกต์ ซานติก้าผับ จำเลยที่ 6 และนายบุญชู เหล่าสีนาท กรรมการผู้มีอำนาจบริษัท โพกัสไลท์ฯ จำเลยที่7ในความผิดฐานผู้ใดทำให้เกิดเพลิงไหม้เป็นเหตุให้ผู้อื่นทรัพย์สินผู้อื่นเสียหายและเป็นอันตรายกับชีวิตผู้อื่น,ผู้ใดกระทำการประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย,ผู้ใดกระทำการให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส และผู้ใดกระทำการให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กายและจิตใจ ตามประมวลกฎหมาย มาตรา225 , 291, 300, 390และกระทำผิด พ.ร.บ.สถานบริการ พ.ศ.2509มาตรา16/1 , 16/3.27และ28/1ฐานเป็นผู้รับอนุญาตตั้งสถานบริการปล่อยปละละเลยให้บุคคลซึ่งอายุต่ำกว่า20ปี เข้าไปในสถานบริการ และปล่อยปละละเลยให้มีการกระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติดในสถานบริการ มาตรา291
ตามฟ้องโจทก์ ระบุว่า เมื่อคืนวันที่31ธ.ค.51ต่อเนื่องวันที่1ม.ค.52พวกจำเลยได้กระทำการโดยประมาทปราศจากความระมัดระวังจัดให้มีงานรื่นเริงให้บริการจำหน่ายอาหารสุรา เครื่องดื่ม การแสดงดนตรีรวมทั้งการแสดง แสง สี เสียง ในโอกาสฉลองเทศกาล วันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ภายในตัวอาคารซานติก้าผับ ย่านเอกมัย ซึ่งภายในตัวอาคารไม่มีแบบแปลนแผนผังอาคารติดตั้งแสดงไว้ ไม่มีป้ายบอกทางหนีไฟ และไม่ได้ติดตั้งไฟฉุกเฉินให้มีจำนวนเพียงพอที่จะสามารถเปิดส่องสว่างแก่ลูกค้าเพื่อการหลบหนีออกจากตัวอาคารได้สะดวกและปลอดภัย โดยอาคารมีพื้นที่ให้บริการลูกค้าที่สามารถจุคนได้ไม่เกิน จำนวน500คน แต่ขณะเกิดเหตุมีลูกค้าเข้าไปใช้บริการเป็นจำนวนมากกว่า1,000คน โดยจำเลยที่5ได้จุดพลุไฟที่บริเวณหน้าเวที ซึ่งมีความสูงประมาณ5เมตร จนเกิดลูกไฟขึ้นไปชนเพดานเวที ทำให้เกิดเพลิงลุกไหม้ขึ้นที่บริเวณเพดานเวทีและภายในตัวอาคารเป็นเหตุให้ลูกค้าผู้เข้าไปใช้บริการ ในอาคารถึงแก่ความตาย67คน บาดเจ็บสาหัส32คนบาดเจ็บอีก71คน
จำเลยทั้งหมดให้การปฏิเสธ โดยจำเลย1อ้างว่าขณะเกิดเหตุไม่ได้เป็นกรรมการผู้จัดการบริษัทไวท์ แอนด์บราเธอร์ส์(2003)จำกัด ซึ่งบริหารร้านซานติก้าผับ ส่วนจำเลยที่6และ7ต่อสู้คดีว่าเพลิงที่ลุกไหม้ไม่ได้เกิดจากเอฟเฟกต์
คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาเมื่อวันที่20ก.ย.54เห็นว่า จำเลยที่1, 6และ7เป็นการกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย และได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก เป็นความผิดกรรมเดียวแต่ผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตาม ม.291ที่เป็นบทหนักสุด จำคุกนายวิสุข หรือเสี่ยขาว จำเลยที่1และนายบุญชู เหล่าสีนาท กรรมการผู้มีอำนาจบริษัท โพกัสไลท์ฯซึ่งรับจ้างติดตั้งการทำเอฟเฟกต์ ซานติก้าผับ จำเลยที่ 7 คนละ3ปี และปรับบริษัท โฟกัสไลท์ ฯ จำเลยที่6รวม20,000บาท
โดยให้บริษัท จำเลยที่6และนายบุญชู จำเลยที่7ร่วมกันชดใช้โจทก์ร่วมที่ 4-8 ที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสและเสียชีวิต เป็นเงิน8.7ล้านบาท ส่วนจำเลยที่2-5ยกฟ้อง
ต่อมาจำเลยที่1, 6-7ยื่นอุทธรณ์ขอให้ศาลยกฟ้อง โดยโจทก์ ยื่นอุทธรณ์ในส่วนของนายสราวุธ อะริยะ นักร้องวงเบิร์น ผู้จุดพลุไฟจำเลยที่5ซึ่งศาลชั้นต้นยกฟ้องขณะที่โจทก์ร่วมได้ยื่นอุทธรณ์ส่วนค่าเสียหาย
โดยศาลอุทธรณ์ มีคำตัดสินเมื่อวันที่ 22 ต.ค.56 พิพากษาแก้ ให้ยกฟ้องนายวิสุข หรือเสี่ยขาว จำเลยที่1ทุกข้อหา เนื่องจากไม่ใช่ผู้ที่กระทำประมาทโดยตรงที่จะทำให้เหตุเพลิงไหม้ ลำพังที่จะฟังว่าให้กลุ่มนักท่องเที่ยวเข้าไปในสถานบันเทิงเกิน500คนก็ฟังไม่ได้ ซึ่งหากจำเลยที่1จะมีพฤติการณ์ดังกล่าวก็เป็นเรื่องของการไม่ได้ติดแบบแปลนแผนผังของอาคาร ป้ายบอกทางหนีไฟ และติดไฟฉุกเฉินให้เพียงพอ ที่เป็นข้อปฏิบัติตามพ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ.2522ซึ่งเหตุเพลิงไหม้ที่เกิดนั้นสืบเนื่องจากการ
จุดเอฟเฟกต์ด้วยไฟฟ้าที่หน้าเวทีที่จำเลยที่6-7ดูแลและพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องนายสราวุธ นักร้องวงเบิร์น จำเลยที่5เนื่องจากหลักฐานดีวีดีบันทึกภาพที่ได้จากกล้องวีดีโอของพนักงานบริษัทที่บันทึกการแสดงโชว์บนเวที ก่อนที่จะเกิดเพลิงไหม้ไม่ปรากฏภาพว่า จำเลยที่5ได้ถือกระบอกพลุและจุด
ตามคำเบิกความของพยานโจทก์บางปากซึ่งภายในอาคารมีแสงไฟสลัว ค่อนข้างมืด ประกอบกับมีนักท่องเที่ยวจำนวนมากยืนเบียดเสียดกัน จึงเป็นไปได้ที่พยานจะเห็นภาพในมุมที่ต่างกัน และอาจจะเข้าใจผิดได้ โดยภาพที่ปรากฏในแผ่นดีวีดี พบเพียงแค่จำเลยที่5ยืนถือไมค์เพียงมือเดียว ไม่ได้ก้มๆ เงยๆ ตามคำเบิกความของพยาน ซึ่งหากจะถือกระบอกพลุด้วยก็ต้องถือ2มือพยานหลักฐานโจทก์ยังมีความขัดแย้งกัน
ขณะที่ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืนจำคุก นายบุญชูกก.บ.โพกัสไลท์ฯจำเลยที่7เป็นเวลา3ปี และปรับ บ.โฟกัสไลท์ ฯ จำเลยที่6จำนวน 20,000 บาท และให้บริษัทจำเลยที่ 6 กับ นายบุญชู จำเลยที่7ชำระค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ร่วมที่ 4-8 รวม 5 รายที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสและเสียชีวิต เป็นเงิน8.7ล้านบาท
ต่อมาโจทก์ยื่นฎีกาขอให้พิพากษาลงโทษนายวิสุข หรือเสี่ยขาว จำเลยที่ 1 ส่วน บ.โฟกัสไลท์ ฯ จำเลยที่6และนายบุญชู กก.บ.โพกัสไลท์ฯจำเลยที่7ยื่นฎีกาขอให้ยกฟ้อง
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันแล้ว พยานหลักฐานโจทก์ โจทก์ร่วม และจำเลย ที่นำสืบมารับฟังได้ว่า เหตุเพลิงไหม้เกิดจากดอกไม้เพลิงของนายบุญชู กก.บ.โพกัสไลท์ฯจำเลยที่7ที่ติดตั้งอยู่ที่หน้ากลองชุดของวงดนตรีที่อยู่ในงาน เมื่อมีการทำฉากเอฟเฟกต์ ในร้านเกิดเหตุจึงทำให้เกิดเพลิงไหม้ดังกล่าว
ส่วนบ.โฟกัสไลท์ ฯ จำเลยที่6ซึ่งเป็นนิติบุคคลนั้น เมื่อนายบุญชู กรรมการบริษัท จำเลยที่ 7 เป็นผู้มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยในการรับจ้างติดตั้งดอกไม้เพลิงดังกล่าวตามวัตถุประสงค์จึงถือว่าเป็นการกระทำของจำเลยที่ 6 ด้วย ซึ่งการกระทำของจำเลยที่ 7 เป็นความผิดอาญาแม้จะเป็นการกระทำโดยประมาทบริษัทจำเลยที่ 6 ก็ต้องรับโทษเช่นกัน ฎีกาของจำเลยที่ 6-7 ฟังไม่ขึ้น
สำหรับนายวิสุข จำเลยที่ 1 แม้จะไม่ได้มีชื่อเป็นผู้แทนบริษัท ไวท์ แอนด์ บราเธอร์ส (2003)จำกัด ที่เป็นเจ้าของร้าน แต่เป็นผู้บริหารร้านเกิดเหตุตามความเป็นจริง และการที่จำเลยที่ 1 ไม่ได้จัดให้มีไฟฉุกเฉินของทางหนีไฟ ขณะที่ประตูเข้า-ออก ทางด้านหน้าร้าน ซึ่งเป็นประตูหลักเพียงประตูเดียว มีความกว้างเพียง 2 เมตร 30 เซนติเมตร ซึ่งไม่พอที่จะระบายคนเกือบ 1,000 คนให้ทันแก่เหตุการณ์ เมื่อมีผู้ถึงแก่ความตายและได้รับบาดเจ็บจากเหตุเพลิงไหม้ จำเลยที่ 1 จึงได้ชื่อว่ากระทำโดยประมาทด้วย
ฎีกาของโจทก์ในส่วนของจำเลยที่ 1 ฟังขึ้น ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 1 มานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยจึงพิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุกจำเลยที่ 1 เป็นเวลา 3 ปีฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย และได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก ตาม ม.291ที่เป็นบทหนักสุด
ส่วนนายบุญชู กก.บ.โพกัสไลท์ฯจำเลยที่7พิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ให้จำคุก 3 ปีตาม ม.291และปรับบ.โฟกัสไลท์ ฯ จำเลยที่6เป็นเงิน20,000บาท และให้บริษัท จำเลยที่6กับนายบุญชู จำเลยที่7ร่วมกันชดใช้โจทก์ร่วมที่ 4-8 ที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสและเสียชีวิต เป็นเงิน5,120,000ล้านบาท
ทั้งนี้สำหรับจำเลยที่2-5โจทก์ไม่ได้ยื่นฎีกาจึงทำให้คดีถึงที่สุดในชั้นอุทธรณ์ ซึ่งศาลได้พิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 2- 5
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อคดีถึงที่สุดตามคำพิพากษาศาลฎีกาแล้ว ขณะนี้นายวิสุข หรือเสี่ยขาว ผู้บริหารซานติก้าผับ จำเลยที่ 1 และนายบุญชู กก.บ.โพกัสไลท์ฯจำเลยที่7ได้ถูกคุมขังในเรือนจำรับโทษตามคำพิพากษาที่ให้จำคุกคนละ 3 ปีโดยไม่รอลงอาญา
ทั้งนี้ นายวิสุข หรือเสี่ยขาว ผู้บริหารซานติก้าผับ นั้นยังมีคดีฐานหลีกเลี่ยงการเสียภาษีสรรพสามิต ตาม พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิต พ.ศ.2527กรณีไม่ยื่นแสดงแบบรายการภาษีและไม่ชำระภาษีสรรพาสามิต ต่อกรมสรรพสามิต รวมยอดเงินทั้งสิ้น85,382,470.67บาท ที่อัยการได้ยื่นฟ้องต่อศาลอาญา ซึ่งศาลมีคำพิพากษาเมื่อวันที่25เม.ย.57ให้จำคุกกระทงละ3เดือน รวมจำคุก12เดือนโดยไม่รอลงอาญา แต่ต่อมาจำเลยได้ยื่นอุทธรณ์ โดยมีการอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เมื่อเดือน พ.ย.58 ที่ผ่านมาให้ยกฟ้อง