การกระทำของญี่ปุ่นต่อยูเนสโกนั้น "ไร้เหตุผล"
การกระทำของญี่ปุ่นต่อยูเนสโกนั้น "ไร้เหตุผล"
เมื่อส่องกระจกแล้วพบว่ามีสิ่งสกปรกติดอยู่ที่หน้า คนส่วนใหญ่มักจะล้างหน้าออก แต่ญี่ปุ่นนั้นกลับทุบกระจกให้แตกด้วยความโกรธแทน
เมื่อองค์การยูเนสโกจะมีการขึ้นทะเบียนเอกสารการสังหารหมู่ในนานกิงให้เป็นความทรงจำแห่งโลก ทำให้มีการเผยบางสิ่งบางอย่างที่ชั่วร้ายของญี่ปุ่นในอดีต ทางโตเกียวจึงไม่พอใจและกล่าวโทษยูเนสโกที่เปิดเผยความจริงออกมา
เอกสารที่จีนเสนอให้ยูเนสโกนั้นรวมข้อมูลที่เกี่ยวกับการสังหารหมู่ 11 ฉบับ รวมถึงวิดีโอ รูปถ่าย และข้อความระหว่างปี 1937-1948 โดยรูปภาพบางส่วนแสดงให้เห็นการข่มขืนหญิงชาวบ้าน และศพที่เกลื่อนกลาดกระจัดกระจายตามถนน
โตเกียวนั้นไม่เพียงแต่ตั้งคำถามในเอกสารดังกล่าว แต่ยังตัดเงินทุนยูเนสโกด้วย โดยในปี 2014 ญี่ปุ่นได้จัดเงินทุนให้ยูเนสโกประมาณ 31 ล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ ซึ่งนับเป็นร้อยละ 11 ของจำนวนเงินทุนทั้งหมด
การกระทำเพื่อตอบโต้ของญี่ปุ่นนั้นอยู่เหนือเหตุผล ด้วยเหตุผลสองประการดังนี้
ประการแรก เอกสารดังกล่าวได้รับการยอมรับจากยูเนสโกแล้วจึงเป็นสิ่งที่ได้รับอำนาจถูกต้องและไม่สามารถปฏิเสธได้
โดยต้นฉบับที่จีนเสนอให้นั้นสอดคล้องกับความทรงจำโลก ในขณะที่ขั้นตอนในการขึ้นทะเบียนก็สอดคล้องกับกฎระเบียบของยูเนสโกทุกประการ
การตัดสินใจของยูเนสโกในครั้งนี้มาจากการลงมติในการประชุมในเมืองอาบูดาบี สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เป็นเวลา 3 วัน หลังจากปฏิบัติตามขั้นตอนเสนอขึ้นทะเบียนที่ใช้ระยะเวลาถึง 2 ปี และได้รับการตรวจสอบจากทั้ง 66 ประเทศอีกด้วย
ประการที่สอง การตอบโต้ของพรรคการเมืองญี่ปุ่นบางพรรคโดยการตัดเงินทุนยูเนสโกนั้นเป็นเรื่อง "น่าขันสิ้นดี"
เนื่องจากยูเนสโกนั้นดำเนินการเพื่อประเทศต่างๆทั่วโลก ดังนั้นญี่ปุ่นจึงไม่ควรคาดหวังว่ายูเนสโกจะทำตามความต้องการของญี่ปุ่นแต่เพียงฝ่ายเดียว ในเมื่อความเป็นจริงแล้วญี่ปุ่นนั้นก็มีเอกสารหลายฉบับที่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นความทรงจำของโลกเช่นกัน โดยปีนี้มีการขึ้นทะเบียนแล้วถึง 2 ฉบับ
ประเด็นในประวัติศาสตร์นั้นสำคัญต่อความสัมพันธ์ระหว่างจีนและญี่ปุ่น โตเกียวจึงไม่ควรจะละเลยต่อประเด็นที่ทั้งจีนและประเทศในเอเชียก็ทุกข์ทนต่อการกระทำของญี่ปุ่นระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2
แทนที่จะกระโจนเข้าใส่คนที่เปิดเผยความจริงด้วยความโกรธแค้น ญี่ปุ่นควรจะมองเข้าไปที่กระจกซึ่งก็คือเหตุการณ์ในอดีตและตระหนักว่านี่คือสิ่งสกปรกที่ติดอยู่บนหน้าตน ทั้งนี้ญี่ปุ่นมีโอกาสที่จะแสดงให้ทั่วโลกเห็นถึงความจริงใจ เช่นเดียวกับที่เยอรมันได้ทำเมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง
(บรรณาธิการ huaxia / สำนักข่าวซินหัว รายงาน)