พระเมธีธรรมาจารย์ หนึ่งในคณะกรรมการฯ ร่วมตัดสินห้ามฉาย"อาบัติ"
(13 ต.ค. 58) พระเมธีธรรมาจารย์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Phramethee Phramethee กรณีมีมติ 7-0 เสียง สั่งห้ามฉายภาพยนตร์เรื่อง "อาบัติ" ถ้าบริษัทผู้สร้าง จะทำธุรกิจด้วยวิธีการแบบนี้ เช่น สร้างหนังที่มีเนื้อหาเหยียบย่ำ ดูหมิ่นดูแคลน ไม่ให้ความเคารพต่อพระศาสนาและทำโฆษณาหนังเพื่อหารายได้ เพื่อโกยรายได้ด้วยวิธีการแบบนี้ ก็ให้รู้กันไป พระสงฆ์ทั้งสังฆมณฑลจะได้แซ่ซ้องสรรเสริญกันทั้งประเทศ โดยข้อความทั้งหมดมีดังนี้
Phramethee Phramethee
"อาบัติ"
ภาพยนตร์เรื่อง "อาบัติ" หลังจากทางบริษัทผู้สร้างได้โปรโมทภาพยนตร์เรื่องนี้ผ่านคลิปสั้นๆในบางส่วน บางตอน ออกมาก็ก่อให้เกิดข้อวิพากษ์วิจารณ์จากผู้คนในแวดวงพระพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในกลุ่มองค์กรชาวพุทธที่เฝ้าระวัง ปกป้องและพิทักษ์พระพุทธศาสนา
21 กันยายน 2558 องค์กรเครือข่ายชาวพุทธจำนวน 6 องค์กร ได้ประชุมปรึกษาหารือ กำหนดท่าทีและศึกษาเนื้อหาโดยละเอียดพร้อมร่วมกันกำหนดท่าทีในเรื่องนี้
ที่ประชุมได้พิจารณาร่วมกันแล้ว มีมติ ดังนี้
1.ในด้านเนื้อหา ภาพยนตร์เรื่อง"อาบัติ" มีเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง เป็นการนำเอาเรื่องเสียหายในศาสนาใดศาสนาหนึ่งมาขยายผลในเชิงพานิชย์ เป็นการทำธุรกิจที่ไม่คำนึงถึงหลักสัมมาอาชีวะ
2.ในด้านวิชาชีพ ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นการมโนภาพ หรือจินตนาการของผู้เขียน ผู้กำกับ และผู้สร้างโดยขาดความรับผิดชอบในทางจริยธรรม ศีลธรรม ขาดจิตสำนึกที่ดีโดยเฉพาะมโนภาพที่ผ่านแผ่นฟิล์มไปปรากฎต่อสาธารณชนทั้งประเทศนั้นใคร กลุ่มใหนหรือศาสนาใดจะเสียหายกลับไม่คำนึงถึง
3.ด้านคุณค่า ภาพยนตร์เรื่องนี้จะมีคุณค่าใดๆในสังคม นอกจากการกระตุ้นยอดรายได้ของผู้ประกอบการนอกนั้นยังมองไม่เห็น จะมองเห็นแต่ความแตกแยก ทั้งด้านความคิดและการปฎิบัติ พร้อมทั้งความเสียหายต่อพระศาสนาโดยรวม แต่ผู้เกี่ยวข้องกลับกล่าวอ้างว่านี่คืออุทาหรณ์ นี่คือมุมมืดที่ไม่ควรปฎิบัติทั้งพระและโยม คิดแบบนั้นจริงหรือไม่หรือแท้จริงเพียงหวังผลทางธุรกิจ และการที่ท่านเอาเรื่องไม่ดีทางศาสนามาละเลงขนาดนี้มันคุ้มกันแล้วหรือ คุ้มหรือไม่ ไตร่ตรองดู
4.ในแง่ศาสนิก ไม่ทราบว่าบริษัทผู้สร้าง ผู้เขียนบท ผู้กำกับและนักแสดงเป็นชาวพุทธหรือไม่ ในมุมมองด้านศาสนาถ้าเป็นคนต่างศาสนาทำการแบบนี้ก็ไม่ควรยิ่ง แต่ถ้าพวกท่านเป็นพุทธศาสนิกชนทั้งหมดก็ยิ่งน่าคิด น่าคิดโดยเฉพาะต้องถามกลับไปว่าชาวพุทธแท้ๆนั้นต้องการเชิดชูพระพุทธศาสนาแบบนี้เหรอ หมดทางที่จะเชิดชูหรือให้คติเตือนใจกับสังคมแล้วใช่หรือไม่
ในขณะเดียวกันถ้าชาวพุทธย้อนถามกลับไปอีกว่าถ้าศาสนิกในศาสนาอื่นกระทำการ ปฎิบัติการเยี่ยงนี้ ผู้นำในศาสนาและนักบวชในศาสนารวมทั้งรัฐบาลประเทศนั้นๆจะมีปฎิกิริยาอย่างไร
5.ในแง่ความเสมอภาค ถ้าท่านอ้างว่าภาพยนตร์เรื่อง "อาบัติ" เป็นประโยชน์ เป็นคุณ และทุกคนควรเคารพ ถามว่า บริษัทผู้สร้าง ผู้เขียนบท ผู้กำกับและนักแสดง กล้ากระทำการหรือสร้างภาพยนตร์เช่นนี้ในอีก 5 ศาสนาในเมืองไทยหรือไม่ กล้าใหม หรือวิธีการแบบนี้กระทำการเฉพาะพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาเท่านั้น
6.ด้านศาสดาในศาสนาที่ต้องได้รับการเคารพอย่างยิ่งทั้งในนามศาสนิกของศาสนานั้นๆหรือแม้กระทั่งศาสนิกในศาสนาอื่น
ชัดเจนว่า เนื้อหาบางส่วนในภาพยนตร์เรื่องนี้ เป็นการจงใจละเมิดและปฎิบัติที่ลบหลู่พระพุทธรูปที่ชาวพุทธถือว่าเป็นสัญลักษณ์แทนพระพุทธเจ้า พูดให้เข้าใจง่ายๆคือลบหลู่พระศาสดาคือพระพุทธเจ้าในพระพุทธศาสนานั่นเอง เราชาวพุทธยอมกันได้เหรอ
ทั้งหมดจึงเป็นเหตุเป็นผลให้องค์กรพุทธทั้ง 6 องค์กรมอบหมายให้ ผศ.ดร.เสถียร วิพรมหา นายกสมาคมนักวิชาการเพื่อพระพุทธศาสนา (สนพ)ไปยื่นคัดค้านต่อ รมว.วัฒนธรรม
หลายคนหลายท่านวิพากษ์วิจารณ์ว่า ที่องค์กรพุทธกระทำแบบนี้ยิ่งเข้าทาง ทำให้หนังเรื่องนี้ดังเป็นพลุ โฆษณาให้โดยไม่ต้องจ่ายเงิน ทำการตลาดให้อย่างได้ผล และตอนนี้ยิ่งระงับการฉายยิ่งเข้าทาง เป็นการขยายวงกว้าง คนเรียกร้องอยากดูกระจายมากขึ้น ผู้จัดก็ตรียมอุทรณ์
ในเรื่องนี้ องค์กรพุทธมีจุดยืนที่ชัดเจนในเรื่องการพิทักษ์ ปกป้องพระพุทธศาสนา ถ้าไม่ระงับด้วยวิธีนี้ เราจะงอมืองอเท้าให้เหยีบย่ำโดยไม่มีปากมีเสียงเลยหรือ
แต่ถ้าบริษัทผู้สร้าง จะทำธุรกิจด้วยวิธีการแบบนี้ เช่น สร้างหนังที่มีเนื้อหาเหยียบย่ำ ดูหมิ่นดูแคลน ไม่ให้ความเคารพต่อพระศาสนาและทำโฆษณาหนังเพื่อหารายได้ เพื่อโกยรายได้ด้วยวิธีการแบบนี้ ก็ให้รู้กันไป พระสงฆ์ทั้งสังฆมณฑลจะได้แซ่ซ้องสรรเสริญกันทั้งประเทศ
พระเมธีธรรมาจารย์
ที่ปรึกษา สนพ
เลขาธิการศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย
13 ตุลาคม 2558