กระแสบอลไทยกับผู้ชายคนนี้ "ซิโก้" เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง
ถึงวินาทีนี้เชื่อว่าทั้งประเทศไม่มีใครที่ไม่รู้จักชื่อของ “ซิโก้” เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง… เพราะเจ้าตัวได้ชื่อว่าเป็นผู้กอบกู้วงการฟุตบอลไทย ให้กลับสู่ยุครุ่งเรืองอันเปี่ยมไปด้วยความหวังอีกครั้งสถานการณ์ต่างๆ อันมากมาย ที่ไม่เป็นใจทำให้วงการฟุตบอลบ้านเราซบเซาไปกว่า 10 ปีกระทั่งการกลับมาแบบบูมสุดขีด ชนิดก้าวกระโดดของฟุตบอลลีกต่อเนื่อง มาถึงทีมชาติที่เริ่มกลับเข้าที่เข้าทางอีกครั้ง
ตลอด 2 ปีที่ผ่านมาฟุตบอลไทยกลับมาอยู่ในกระแสอีกครั้ง และไม่ใช่เฉพาะกับแฟนฟุตบอลเท่านั้น แต่ประชาชนคนธรรมดา
ที่ก่อนหน้านี้ไม่ค่อยได้ติดตามข่าวสารเกี่ยวกับฟุตบอล ก็เริ่มหันมาเมียงมองมากขึ้นจากแชมป์ซีเกมส์ 2013 ที่ เมียนมาร์
ต่อด้วยอันดับ 4 เอเชี่ยนเกมส์ มาถึงการทวงแชมป์อาเซียน “เอเอฟเอฟ ซูซุกิ คัพ” แบบสุดระทึกและการป้องกันแชมป์ซีเกมส์ 2015
ที่สิงคโปร์ ขณะที่ผลงานในเวทีฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือกก็สร้างศรัทธาให้กับแฟนบอลได้ในแบบที่เรียกว่าสร้างความหวัง
“เล็กๆ” ว่า “ฟุตบอลโลก” ไม่ใช่เรื่องที่เป็นได้แค่ความฝันอีกต่อไป
แน่นอนว่าเครดิตเกินกว่าครึ่งต้องยกให้กับอดีตกองหน้ากัปตันทีมชาติไทย ที่เสียสละตัวเองเข้ามารับงานคุมทัพเพื่อชาติในครั้งนี้กระทั่งสร้างผลงานไม่ต่างจากเมื่อครั้งที่เจ้าตัวร่ายลีลาอยู่ในสนามเส้นทางชีวิตของศูนย์หน้าจอมตีลังการายนี้น่าสนใจตั้งแต่แรกเริ่ม เกิดที่ จ.อุดรธานี เป็นคนสุดท้องแต่ย้ายไปเรียนชั้น ป.4 ที่ จ.ขอนแก่นก่อนย้ายมาเรียนปวช.ที่กรุงเทพฯ ที่โรงเรียน พาณิชยการกรุงเทพ และศึกษาต่อระดับอุดมศึกษา ที่คณะบริหาร การจัดการ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิต จนจบปริญญาตรี และปริญญาโท ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม
“ซิโก้” เริ่มเข้าสู่เส้นทางการค้าแข้งในกีฬาแห่งเยาวชนแห่งชาติปี 2533 ที่ขอนแก่น และพาทีมชาติไทยคว้าแชมป์กีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 17 ซึ่งถือว่าเป็นการ “แจ้งเกิด” อย่างเต็มตัวของหัวหอกจอมตีลังการายนี้เมื่อถูกเปลี่ยนตัวลงมาในสนามแล้วหันหลังโขก ทำประตูชัยให้ไทยชนะพม่าไป 4-3 คว้าแชมป์ที่ สิงคโปร์ “ซิโก้” ยังร่วมพาทีมชาติไทยคว้าแชมป์ ซีเกมส์ ครั้งที่ 18 และ 19 คว้าอันดับที่ 4 ในการแข่งขันกีฬาเอเชียนเกมส์สองสมัยคือ ครั้งที่ 13 ที่ไทยเป็นเจ้าภาพและเอเชียนเกมส์ครั้งที่ 14 ที่ เกาหลีใต้เป็นเจ้าภาพ
โดยในเอเชียนเกมส์ ครั้งที่ 13 “ซิโก้” เป็นผู้ยิงประตูขึ้นนำเกาหลีใต้ก่อนที่ผลจะจบลงด้วยประตู “โกลเด้น โกล” ของ ธวัชชัย ดำรงค์อ่องตระกูล เป็นผลทำให้ทีมชาติไทยผ่านทะลุเข้าถึงรอบรองชนะเลิศ
นอกจากนี้ก่อนการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 20 ที่ประเทศฟิลิปปินส์ “ซิโก้” ยังได้ถูกยืมตัวไปเล่นให้กับสโมสร ปะลิส ในเอ็มลีกของมาเลเซียและได้รับหนังสือเชิญให้ไปทดสอบฝีเท้าที่สโมสรมิดเดิลสโบรห์ในพรีเมียร์ลีกของอังกฤษซึ่งในสมัยนั้นถือว่าเป็นเรื่องที่ฮือฮาเป็นอย่างมาก
อย่างไรก็ดี เนื่องจากปัญหาเรื่องใบอนุญาตทำงาน หรือ เวิร์กเพอร์มิตจึงทำให้ ซิโก้ ต้องเดินทางกลับไทยด้วยความผิดหวังปี 2542 คนไทยทั้งชาติก็ได้เอาใจช่วย “ซิโก้” อีกครั้งเมื่อสโมสรฮัดเดอร์ฟิลด์ ในดิวิชั่น 1 ของเกาะอังกฤษ ซึ่งมี สตีฟ บรูซ เป็นผู้จัดการทีมในสมัยนั้นประทับใจฟอร์มการเล่นเมื่อคราวลงซ้อมกับทีมจนเซ็นสัญญาไปค้าแข้งในลีกเมืองผู้ดีจริงๆแต่เนื่องด้วยปัญหาสภาพอากาศและการปรับตัวไม่ได้ทำให้เขาได้ลงเล่นให้กับทีมสำรองอย่างเดียวและไม่ได้ลงเล่นทีมชุดใหญ่เลยตลอดระยะเวลา 1 ฤดูกาลจึงหันหลังกลับเมืองไทย มาค้าแข้งกับทีมราชประชา ในที่สุด
หลังการประกาศอำลาทีมชาติ “ซิโก้” เริ่มต้นการทำหน้าที่ผู้ฝึกสอนครั้งแรก ในปี 2006 ในฐานะผู้เล่น-ผู้จัดการทีม ฮอง อันห์ ยาลาย ในศึกวีลีก ประเทศเวียดนามสโมสรสุดท้ายในอาชีพการค้าแข้ง โดยไม่มีแชมป์ใดๆ ติดมือ ปี 2007 เจ้าตัวก็อำลาสนาม และได้ทำหน้าที่เฮดโค้ชแบบเต็มตัวให้กับ ทีมจุฬา-สินธนา ซึ่งเพิ่งเลื่อนชั้นมาเล่นในไทยพรีเมียร์ลีก ปี 2008 และนำทีมจบฤดูกาล อันดับ 8 เดือน ธ.ค.ปี 2008 “ซิโก้” ย้ายไปคุมทีม “ฉลามชล” ชลบุรี เอฟซี ในศึกไทยพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2009 ซึ่งแม้จะพาทีมเข้าถึงรอบ 8 ทีม ศึกเอเอฟซี คัพ และได้แชมป์ถ้วย ก แต่ก็ไม่สามารถพาสโมสรคว้าแชมป์ได้สำเร็จ จบผลงานในตำแหน่งรองแชมป์
“ซิโก้” ประกาศลาออกจากหน้าที่เฮดโค้ชทีมชลบุรี เอฟซี และได้โอกาสไปเป็นผู้ช่วยทีมชาติไทย ชุดซีเกมส์ ครั้งที่ 25 ที่ประเทศลาว ปี 2011 สมัยที่ สตีฟ ดาร์บี้ กุน ซือชาวอังกฤษเป็นเฮดโค้ชแต่ผลงานปีนั้นทัพนักเตะ “ช้างศึก” กลับตกรอบแรกซีเกมส์เป็นครั้งแรกในรอบ 36 ปี จากเหตุการณ์ดังกล่าวเจ้าตัวประกาศลาออกจากการเป็นสตาฟฟ์โค้ชทีมชาติไทย และกลับไปรับงานคุมทีมฮอง อันห์ ยาลาย อีกครั้ง ในปี 2010 โดยพาทีมจบอันดับ 7 ในลีก และได้รองแชมป์บอลถ้วย เวียดนาม เนชั่นแนล คัพ
หลังหมดสัญญาที่เวียดนาม “ซิโก้” เดินทางกลับมาเมืองไทยและเข้าคุมทีม บีบีซียู ในลีกดิวิชั่น 1 ฤดูกาล 2011 ก่อนพาทีมคว้าสิทธิ์ขึ้นมาเล่นไทยพรีเมียร์ลีก แต่ ปี 2012 บีบีซียูทำผลงานไม่ดีนักในลีกสูงสุด ชนะแค่ 1 นัด จาก 10 นัด ทำให้ “ซิโก้” แสดงความรับผิดชอบประกาศลาออก ปี 2012 “ซิโก้” ตั้งต้นใหม่อีกครั้งเมื่อเข้าไปรับงานคุมทีม บางกอก เอฟซี ในลีกดิวิชั่น 1 ซึ่งขณะนั้นอยู่โซนท้ายตาราง และสามารถพาทีมรอดการตกชั้นได้สำเร็จ โดยจบอันดับ 10 ของตาราง
จุดหักเห มาอยู่ช่วงต้นปี 2013 “ซิโก้” ได้รับการแต่งตั้งทำหน้าที่เฮดโค้ชทีมชาติไทย ชุดซีเกมส์ ที่ประเทศเมียนมาร์ก่อนพาทีมทวงบัลลังก์แชมป์กลับมาได้สำเร็จด้วยสไตล์การเล่นที่เป็นเอกลักษณ์เท่านั้นไม่พอทีมชุดดังกล่าวยังรวมตัวกันสร้างผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมฝ่าฝันเข้าถึงรอบรองชนะเลิศ เอเชี่ยนเกมส์ 2014 ที่ อินชอน เกาหลีใต้และกลายเป็นกุนซือสายเลือดไทยคนแรกที่พาทีมคว้าอันดับ 4 มาครองได้สำเร็จศรัทธาจากแฟนบอลเริ่มหลั่งไหลและมีเสียงเรียกร้องให้เจ้าตัวขึ้นมากุมบังเหียนทีมชาติชุดใหญ่แม้เจ้าตัวจะตอบปฏิเสธตลอดมากระทั่งทนเสียงจากแฟนบอลไม่ไหวตอบรับงานคุมทีมชาติชุดใหญ่ในรายการชิงแชมป์อาเซียน “เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2014” และสุดท้ายก็พาทีมคว้าแชมป์มาครอง ได้
ขณะเดียวกันเส้นทางสู่ฟุตบอลโลก 2018 “ซิโก้” ยังพาทีมชาติไทยออกสตาร์ตด้วยผลงานยอดเยี่ยมชนะเวียดนาม 1-0, ชนะ ไต้หวัน 2-0 และล่าสุดตามตีเสมออิรักทีมแกร่งของเอเชียแบบเหลือเชื่อ 2-2 จนมี 7 คะแนนนำจ่าฝูงของกลุ่ม โอกาสเข้ารอบสุดท้ายของเอเชียเป็นไปได้สูง
ไม่เพียงเฉพาะเรื่องในสนามเท่านั้น “ซิโก้” ยังมีการจัดการที่ยอดเยี่ยมเมื่อนำทีมสตาฟฟ์ซึ่งเป็นอดีตเพื่อนร่วมทีมจากเมื่อครั้งชุด “ดรีมทีม” เข้ามาช่วยกัน เนื่องจากมีการทำงานอย่างรู้ใจเข้าขาเป็นอย่างดีทั้ง “โค้ชโชค” โชคทวี พรหมรัตน์ กับ “โค้ชรุ่ง” ใกล้รุ่ง ตรีจักร์สังข์, “โค้ชไข่” อภิสิทธิ์ ไข่แก้ว รวมถึงได้ แอนดี้ ซิลิงเกอร์ฟิตเนสเทรนเนอร์ชื่อดังชาวเยอรมันมาช่วยงานอีกแรง
จากผลงานที่ “ซิโก้” ทำมาทั้งเมื่อครั้งโลดแล่นบนฟลอร์หญ้ารวมถึงในฐานะคนบงการเกมข้างสนามทำให้ถึงวินาทีนี้หัวหอกจอมตีลังกากลายเป็นพระเจ้าในสายตาแฟนบอลที่เข้าไปนั่งอยู่ในใจคนไทยทุกคนเรียบร้อยไม่ว่าสุดท้ายแล้วผลงานของ “ซิโก้” กับทีมชาติไทยจะไปสุดทางที่สถานีใดหรือเมื่อไหร่ แต่เชื่อเหลือเกินว่าในความทรงจำของฟุตบอลไทยจะต้องมีชื่อของ เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง เป็นตำนานตลอดกาลอย่างแน่นอน
ติดตามไทยฮีโร่ ตอน ช้างศึก Ep.2 : ซิโก้
ศุกร์ที่ 25 กันยายน เวลา 21:45 น. ทางช่อง ONE
เสาร์ที่ 26 กันยายน เวลา 19:00 น. ทางช่อง GMM''25