ลงดาบ! อย.สั่งปิดโรงผลิตนม จ.ลำปาง เซ่นนมโรงเรียนเน่า มีผลทันที
ลงดาบ! อย.สั่งปิดโรงผลิตนม จ.ลำปาง เซ่นนมโรงเรียนเน่า มีผลทันที
เมื่อวันที่ 16 กันยายน ที่กระทรวงสาธารณสุข นพ.บุญชัย สมบูรณ์สุข เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เปิดเผยว่า จากการหารือร่วมกับองค์การส่งเสริมโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เรื่องผลกระทบจากการสั่งปิดโรงผลิตนมโรงเรียนที่จังหวัดลำปาง ทราบว่า อ.ส.ค.สามารถจัดหานมโรงเรียนมากระจายให้กับโรงเรียนต่างๆ ได้ไม่มีปัญหาเด็กนักเรียนขาดนมบริโภคแน่นอน
ดังนั้น ทาง อย. จึงเห็นสมควรออกคำสั่งปิดโรงผลิตนมโรงเรียนที่จังหวัดลำปาง ไปจนกว่าจะมีการปรับปรุงให้มีมาตรฐานการผลิตผลิตภัณฑ์ที่ดี (GMP) ตามที่ อย.เคยทักท้วงไปก่อนหน้านี้ โดยคาดว่าประกาศดังกล่าวจะสามารถออกได้ใน 1-2 วันนี้ และจะมอบหมายให้สำนักงานสาธารณสุขเป็นหน่วยงานตรวจสอบ กำกับว่าโรงผลิตนมดังกล่าวดำเนินการแก้ไขปรับปรุงตามคำสั่งหรือไม่
“เป็นอำนาจของอย.ในการสั่งปิดได้เลย โดยไม่ต้องรอผลการตรวจสอบคุณภาพนมจากตัวอย่างที่ส่งให้กรมวิทยาศาสตร์การ แพทย์ด้วยซ้ำ เพราะหลังจากที่เราส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจสอบสถานที่ผลิตเมื่อสัปดาห์ที่ ผ่านมาก็พบไม่ได้มาตรฐานหลายอย่างอยู่แล้ว ตามที่เคยบอกไป ดังนั้น อย.สามารถดำเนินการได้เลย” นพ.บุญชัย กล่าว
ด้าน นพ.อภิชัย มงคล อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่า ผลการตรวจสอบตัวอย่างนมกล่องพร้อมดื่ม (UHT) ที่นำมาจากโรงผลิตจำนวน 12 กล่อง พบว่า นมตัวอย่าง 9 กล่อง มีปัญหานมจับตัวเป็นก้อน มีกลิ่นเหม็นเปรี้ยว และผลตรวจจากห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ก็พบเชื้อแบคทีเรียเป็นจำนวนมาก ซึ่งตามมาตรฐานของนมกล่องพร้อมดื่มจะต้องไม่มีแบคทีเรียเลยแม้แต่ตัวเดียว เพราะถือว่าผ่านกระบวนการการฆ่าเชื้อมาหมดแล้ว ทั้งนี้ ผลตรวจตรงนี้ยังสอดคล้องกับตัวอย่างนมที่ส่งให้โรงเรียนที่มีปัญหาด้วย อย่างไรก็ตาม ขณะนี้อยู่ระหว่างการเพาะเชื้อว่าเป็นเชื้อตัวไหนที่ปนเปื้อน อยู่ในนมกล่องพร้อมดื่มกันแน่
รายงานข่าวแจ้งว่า จากกรณีที่พบนมโรงเรียนที่ จ.ลำปางบูด จนนำไปสู่การเก็บตัวอย่างนมที่ได้จากโรงเรียนในพื้นที่ และนมที่ได้มาจากโรงผลิตนมโรงเรียนมาตรวจเพื่อหาสาเหตุที่ทำให้นมบูด ว่าเกิดขึ้นจากขั้นตอนใดนั้น ถือเป็นเรื่องที่มีผลกระทบกับผู้ประกอบการ ล่าสุด ทางผู้ประกอบการรายหนึ่งได้ยื่นเรื่องขอทราบมาตรฐานการดำเนินการตรวจ สอบคุณภาพนมของหน่วยงานที่รับผิดชอบเรื่องนี้ของกระทรวงสาธารณสุข ทั้งในส่วนของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และ อย. ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่สามารถทำได้เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย