ถ้าผม ไม่จอดรับแก2คน ผมคงไม่รู้ว่าแก2คน ทรมานแค่ไหน พูดแล้วน้ำตาไหลเลยครับ ชีวิตคนเราไม่เหมือนกันจริงๆครับ
(ขออนุญาตลุง2คน
ถ่ายรูปเป็นที่ระลึกและออกสื่อนะครับ)
#ขออนุญาตเล่าเรื่องให้ฟังครับ!
เมื่อวาน เวลาประมาณบ่าย 3 โมงเศษๆ หลังจากที่ผมไปทำภารกิจ! ส่งหนังสือที่ จังหวัดทหารบกสุรินทร์ เพื่อขออนุญาตใช้สนามบินสุรินทร์ภักรดี เพื่อจัดกีฬาแข่งขันรถทางตรง เสร็จ! (ต้องรอผลอนุมัติหรือไม่อนุมัติต่อไปครับ)
ผมไปคนเดียวด้วย ก็รีบเหยียบคันเร่ง รีบกลับ จ.อุบลราชธานี เพราะกลัวมืด กลัวมองไม่เห็นหลุมถ้ามืด! ผมก็ชัดมาประมาณ140-150 กม./ชม. ตามสไตล์วัยรุ่นขาดง!!!
THAILAND ช่วงที่ถนนมันโล่งและตรงดี เลยอำเภอศรีขรภูมิ มา ก่อนถึงอำเภอสำโรงทาบ และผมก็มองไปไกลประมาณเกือบกิโลได้ ผมก็เห็นว่ามีคน2คนเดินข้างถนนกำลังจะกลับบ้าน
ซึ่งเส้นทางนั้นผมรู้ดีว่าหมู่บ้านมันไกลออกไปมาก ผมก็คิดว่าคงจะเดินกลับบ้านแถวๆนั้น คิดว่ามาจากทำไร่ทำนา ทันใดนั้นผมก็ชลอความเร็วลง ผมคิดเสมอครับเวลาเดินทางเมื่อเจอเหตุการณ์แบบนี้
"รีบ!แค่ไหน!ก็ต้องจอด!" จนมาถึงแก 2 คน และก็เบรคเลยพวกแกไปประมาณ 200-300 เมตร เพราะผมมาเร็วมาก จากนั้นผมก็เปิดไฟกระพริบขอทาง ถอยหลังไปหาแก2คน และก็จอดลงไปถามแกว่า (ช่วงสนทนาภาษาอีสานครับ) จะกลับไหนครับ
พอดีผมไปข้างหน้าขึ้นรถผมเลยครับ ทีแรกแกก็เกรงใจผม ไม่อยากรบกวนผม ผมเลยบอกว่าไม่เป็นไร ผมผ่าน รถผมว่างขึ้นเลยครับ มีเพียงแค่รถแข่ง1คันเท่านั้น ที่ผมขนมา (ขออภัยพอดีผมรีบคือมีพวกเอกสารและของต่างๆภายในรถเต็มไปหมด ผมเลยไม่ได้จัดให้แกนั่งข้างในด้วย อีกอย่างกลัวแกแพ้แอร์ด้วยครับ) ก็เลยถามแกก่อนแกจะขึ้นรถว่า บ้านแกอยู่ไหน แกก็บอกว่ากำลังจะเดินไปศรีสะเกษ ป๊าด!!!ผมตกใจ จนขนผมลุกไปทั้งตัว ไม่คิดว่าแก่จะเดินไปศรีสะเกษ เหลืออีกประมาณ 56 กม.กว่าจะถึง
ผมเลยถามต่อว่าทำไมไม่นั่งรถประจำทางล่ะครับ แกบอกไม่มีเงินขึ้น แก 2 คนไม่มีเงินแม๋แต่บาทเดียวเลย เดินมาจากสุรินทร์ ผมก็เศร้าอยู่แปบนึง จากนั้นก็บอกแก2คน ขึ้นรถผม ผมก็ขับมาช้าๆ 80 กม./ชม.มาเรื่อยๆ ทั้งคิดในใจว่า ถ้าผมไม่จอดรับแก2คน แกคงต้องลำบากมากๆคงเดินอีกเป็นวันๆกว่าจะถึงที่หมาย คิดแล้วก็มองดูแก2คนผ่านกระจกหลัง ลดเพลงลงเบาๆ เหมือนน้ำตาจะไหล คิดถึงสมัยตอนเด็กๆตอนใช้ชีวิตอยู่บ้านนอก เคยเดินไปนา! ไปไร่! เคยเดินไปเที่ยวงานหมู่บ้านอื่น! เคยเดินไปนู้น!มานี่! แต่ก็ไม่เคยได้เดินไกลขนาดนี้!
แล้วผมก็ขับรถมาเรื่อยๆ ช้าๆ จนมาถึง จ.ศรีสะเกษ ก่อนเข้าตัวเมือง ผมก็จอดทำธุระในหมู่บ้านแห่งหนึ่งไม่นานเท่าไหร่นัก
จากนั้นผมก็เลยขอถามแก2คน ว่าจะลงตรงไหนครับพอดีกำลังจะเข้าเมืองเดี๋ยวผมไปส่งบ้านเลย แกบอกว่าแกอยู่ จ.
ยโสธร ทีแรกผมไม่รู้ว่าบ้านแก2คน อยู่ จ.
ยโสธร จะกลับ จ.
ยโสธร เพราะว่าแก2คนบอกว่าจะมาศรีสะเกษ ผมก็ขออาสาจะไปส่งที่ยโสธร แต่แกบอกว่าไม่เป็นไหร่ ผมก็พยายามถามบ้านอยู่ตรงไหนก็คุยกับแกอยู่นาน แกก็อธิบายไม่ถูกว่าไปทางไหน บอกว่าอยู่เขตอำเภอเมือง
จากนั้นแกก็ยืนบัตรมาให้ผมดู แกเป็น หมู่7 ต.น้ำคำใหญ่ อ.เมืองยโสธร จ.
ยโสธร ครับ
ผมก็พยายามถามว่าอยู่ฝั่งไหน โซนไหนผมจะขับไปส่งเลย แต่แกก็บอกว่ามันไกลแค่นี้ก็รบกวนมากพอแล้ว แถวนั้นวัยรุ่นยอะด้วยกลัวเวลากลับอันตราย ผมบอกว่าวัยรุ่น ผมไม่กลัวหร่อกครับประเภทลัดข้างถนน ผมพร้อมเสมอครับ แต่แกยังไงก็ขอลงที่ศรีสะเกษ เพื่อจะขอแวะเยี่ยมญาติที่โรงพยาบาลศรีสะเกษก่อนแล้วจะขอขึ้นรถประจำทางไปจังหวัดยโสธรพรุ้งนี้เพราะว่าแกรู้จักคนขับรถประจำทาง จะรอคนขับรถที่แกรู้จักเพราะแกตั้งใจมาหาอยู่แล้ว
และเรื่องมันน่าเศร้าสุดๆต่อไปกว่านั้นครับ น้ำตาแทบไหลเลยตอนนั้น ช่วงที่ผมขอสอบถามว่าทำไมถึงได้เดินมาจาก จ.สุรินทร์ ไปทำอะไรที่ไหนอย่างไรครับ
มันน่าเศร้าใจและเวทนาสุดๆครับ เมื่อแกเล่าให้ฟังว่า จริงๆแล้ว แก2คน เดินเท้ามาจาก จ.โคราช เพราะตกงาน (ผมเศร้าสุดๆครับช่วงนั้น เป็นเรื่องที่น่าเวทนา สงสารบอกไม่ถูกจริงๆครับ) เงินก็ไม่มีสักบาทเลย โทรศัพย์ก็ไม่ได้มี เบอร์โทรทางบ้านก็ไม่มี ไม่สามารถติดต่อทางบ้านได้เลย กระเป๋าเสื้อผ้าก็ไม่มี เพราะนายจ้าง จ้างไปทำงานและปล่อยทิ้งที่ไหนไม่รู้ที่เขต จ.โคราช
แกก็เดินมาเรื่อยๆ เงินก็ไม่มีขึ้นรถประจำทาง แกก็ไม่กล้าโบกขึ้นรถประจำทางเพราะไม่เงินจ่ายค่ารถ พยายามโบกรถยนต์ทั่วไปที่ผ่าน ก็ไม่มีใครกล้าจอดให้ขึ้นด้วย แก2คนเลยตัดสินใจเดินตามทางมาเรื่อยๆ แบบไม่โบกรถใครตามยถากรรมของแก แวะขอข้าวกับชาวบ้านข้างทางและวัดกินพอประทั่งชีวิตให้รอดเพื่อมีแรงเดิน ค่ำไหนก็นอนนั้น และก็ตื่นเดินต่อมาเรื่อยๆ จนเดินเลยมาถึง อ.ศรีขรภูมิ ก่อนเข้าอ.สำโรงทาบ นี่แหล่ะ ถึงเจอผมคนแรกที่แวะจอดรับพวกแก.
#คิดเอานะครับ จากโคราช-บุรีรัมย์-สุรินทร์ กี่วันที่แกเดินมาก็ไม่รู้!!!ขนาดพวกเราขับรถยังเหนื่อยเลย แวะพักแล้วพักอีกตามปั้มน้ำมัน ผมนี่เริ่มน้ำตาซึมเลยครับ ถ้าเป็นพ่อแม่เป็นพี่น้องเราลำบากแบบนี้ ผมตามฆ่านายจ้างแน่ครับ!
จากนั้นผมก็ขับรถแวะไปส่งแกที่หน้าโรงพยาบาลศรีสะเกษ และลงไปส่งแกพร้อมเอาเงินให้แก2คน 300 บาท ไว้เป็นค่ารถและก็กินข้าว เพราะผมเหลือในกระเป๋าเท่านั้นพอดี แกทั้ง2ก็ทั้งยกมือไหว้ทั้งขอขอบคุณทั้งอวยพรให้ผม ผมก็ยกมือไหว้แกเช่นกันและบอกแกว่า(ขอเป็นภาษาอีสานหน่อยครับช่วงนี้) "#บ่เป็นหยั๋งดอกครับ โชคดีเด้อครับ รีบกลับถึงบ้านเด้อครับ" จากนั้น ผมก็ขับรถกลับอุบลราชธานี ต่อไปครับ
ผมก็รู้สึกเศร้าใจกับเรื่องที่ผมรับรู้มา แต่ผมก็ภูมิใจที่ได้ทำให้แกกลับบ้านอย่างสบายขึ้น เร็วขึ้น. จริงๆแล้ว ผมก็แวะช่วยประจำครับ ถ้าผมเจอและรถผมว่าง ทั้งพวกมอไซค์น้ำมันหมด มอไซค์ยางรั่ว รถชนกัน แต่ไม่ค่อยเอามาเล่าหรืออกสื่อให้ใครรับรู้ แต่!เหตุการณ์นี้ ผมว่ามันทรมานจิตใจผมมากๆสุดๆเท่าที่ผมเคยเจอมาเลยครับ ผมเลยเอาอยากมาเล่าออกสื่อ สู่พี่น้องทุกคนได้ฟัง ได้รู้ ได้ปฎิบัติบ้าง! #ก็ฝากถึงผู้ที่ขับรถ มีรถขับทั้งหลายด้วยนะครับ เมื่อยามเราพบเห็น ประเมินสถานะการณ์ ขอย้ำว่าประเมินสถานะการณ์! พอจอดช่วยได้ ก็ควรช่วย แต่สำหรับผมช่วยหมดครับเท่าที่ช่วยได้
ผมไม่กลัวหร่อกจะเป็นใครก็ตามหรือจะพวกมิจฉาชีพก็พอดูออกอยู่ครับ แต่กลัวเขาลำบากมากว่าครับ
#ทางเดียวกัน!ไปด้วยกัน! คนไทยด้วยกันช่วยเหลือกันครับ
นี่คือ ประเทศไทย!!!
อ่านจบกด 9 นะครับ ผมจะได้รู้ว่าคุณอ่านจบจริงๆ
เลข 9 เพื่อทำดีถวายในหลวงและคนไทยทั้งประเทศครับ
#ข่าวเรื่องเล่าวันนี้!!! จาก บอย ยากูซ่า 123%
น้ำตาไหลต่อแปบครับ!
#ขอขอบพระคุณทุกคอมเม้นล่วงหน้าด้วยนะครับ
ผมจะอ่านและกดไลค์ให้ทุกคอมเม้นท์นะครับผม