3 คดีสะเทือนขวัญ เมื่อ 'ลูก' คือฆาตรกรที่ปลิดชีวิต 'พ่อแม่' ผู้ให้กำเนิด
สถาบันครอบครัว ถือเป็นพื้นฐานสำคัญ เป็นสิ่งที่มีอิทธิพลต่อชีวิตมนุษย์เราเป็นอย่างมาก เด็กจะดีหรือไม่ดี จะสามารถใช้ชีวิตได้แบบปกติในสังคมได้หรือไม่นั้น ส่วหนึ่งก็มาจากลักษณะการเลี้ยงดูของพ่อแม่ สภาพแวดล้อมความเป็นอยู่ตั้งแต่เด็กจนเติบใหญ่ด้วย หากคนในครอบครัวไม่เข้าใจพื้นฐานในการดำเนินชีวิต ไม่เข้าใจขอบเขตความสัมพันธ์ของกันและกัน ปัญหาต่างๆ อาจสะสม นานๆ เข้าอาจจะเกิดตกตะตอนในจิตใจ กลายเป็นระเบิดที่รอเวลา หากถึงจุดเดือดสูงสุดอาจแผดเผาทุกคนให้มอดไหม้
เย็นตาโฟดอทคอม ขอรวบรวมเรื่องราวสะเทือนขวัญเกี่ยวกับปัญหาครอบครัวที่เด็กเกิดความกดดันจนต้องลงมือสังหารพ่อแม่ตัวเอง มาให้ทุกคนได้อ่าน เป็นอุทาหรณ์สอนใจ สะท้อนให้ได้เห็นถึงปัญหาของสถาบันครอบครัว เพื่อเป็นแนวทางรับมือ และเตือนสติไปพร้อมๆ กัน
3 คดีสะเทือนขวัญ เมื่อ 'ลูก' คือฆาตรกรที่ปลิดชีวิต 'พ่อแม่' ผู้ให้กำเนิด
1.ลูกชายคนโต ฆ่ายกครัว พ่อแม่ และน้องชาย แล้วโยนความผิดให้น้องที่ตาย
สาเหตุ: โดยตำหนิเรื่องการเรียนบ่อยๆ รู้สึกน้อยใจ จึงคิดไปว่าพ่อแม่รักลูกไม่เท่ากัน
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในวันที่ 9 มีนาคม 2557 นายโย อายุ 18 ปี ลูกชายคนโต ของครอบครัวศรพรหม ได้ตัดสินใจทำการฆาตกรรม ปลิดชีวิตคนภายในครอบครัวตัวเอง ด้วยการใช้อาวุธปืนยิง นายภานุวัฒน์ ศรพรหม อายุ 44 ปี ผู้เป็นพ่อ นางเยาวลักษณ์ ศรพรหม อายุ 41 ปี ผู้เป็นแม่ และนายภัทรยุทธ ศรพรหม อายุ 16 ปี ผู้เป็นน้องชายแท้ๆ ของเขา เสียชีวิตคาบ้านพัก จ.ปทุมธานี หลังเกิดเหตุเขาได้ให้สัมภาษณ์ด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า น้องชายคนเล็ก เป็นผู้ลงมือฆ่า แต่ด้วยหลักฐานพิสูจน์ของทางเจ้าหน้าที่จึงทำให้ นายโยสารภาพว่าเป็นคนฆ่า โดยอ้างว่าที่ทำไปเพราะถูกแม่ดุด่าเรื่องผลการเรียนตกต่ำ จึงรู้สึกโกรธแค้น ผูกใจเจ็บ เขาสารภาพว่าในวันเกิดเหตุ ตัวเองถูกแม่ดุด่า จึงรู้สึกโกรธแค้นอย่างหนัก จนเวลาประมาณตีสาม ได้ขึ้นไปบนชั้น 2 ของบ้าน และพบปืนอยู่ในกระเป๋าของพ่อวางอยู่ เขาตั้งใจว่าจะนำปืนไปยิงแม่เพียงคนเดียวเท่านั้น!! แต่กลัวว่าพ่อ และน้องชายจะตื่นมาพบ จึงตัดสินใจยิงทิ้งทุกคน แต่หลังก่อเหตุรู้สึกกลัวความผิด จึงนำปืนไปวางที่มือน้องชาย เพื่อโยนความผิดให้น้องชายว่าเป็นผู้ลงมือสังหารพ่อแม่ แล้วยิงตัวตายตามไป นอกจากนี้เขายังสารภาพอีกว่า พยายามก่อเหตุฆาตรกรรมหลายครั้ง ด้วยการคิดวางแผนฆาตกรรมล่วงหน้า มีการซื้อยานอนหลับ เป็นยานอนหลับชนิดละลายน้ำ แต่ก็ไม่สำเร็จ จึงได้ไปซื้อยานอนหลับชนิดน้ำมากอีก แต่ขวดยากลับตกแตก จนในที่สุดก็ได้ใช้อาวุธปืนสังหาร โดยคดีนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจ แจ้งข้อหา “ฆ่าบุพการี” โดยไตร่ตรองไว้ก่อน มีโทษสูงสุดถึงประหารชีวิต
2.เจนนิเฟอร์ พาน จ้างมือปืนมาฆ่าพ่อแม่แท้ๆ ของตัวเอง
สาเหตุ: พ่อแม่รู้ความจริงว่าเธอสร้างโกหกว่า เรียนเก่ง
cr photo: www.thestar.com
เรื่องนี้ถูกตีแผ่ครั้งแรกบนนิตยสารโตรอนโต เป็นเรื่องราวของหญิงสาว ชื่อ เจนนิเฟอร์ พาน (Jennifer Pan) หญิงสาวสัญชาติแคนาดาวัย 28 ปี บุตรคนโต Huei Hann Pan (พ่อ) และ Bich Ha Pan (แม่) และมี เฟลิกซ์ น้องชายอีก 1 คน ครอบครัวของเธออพยพจากเวียดนาม เข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่ในแคนาดา อาศัยอยู่ในเมือง Markham ทางเหนือของกรุงโตรอนโต และประกอบอาชีพด้วยการพนักงานในโรงงานประกอบชิ้นส่วนรถยนต์แห่งหนึ่ง ซึ่งพ่อและแม่ของเจนิเฟอร์ มีความคาดหวังอย่างแรงกล้าว่าต้องการให้เธอผู้เป็นลูกสาวคนโต และ เฟลิกซ์ น้องชายของเธอ มีการศึกษาที่ดี และมีอนาคตแจ่มใส จึงเลี้ยงดูด้วยความเข้มงวด โดยให้ลูกทั้งสองคนจดจ่ออยู่แต่กับการเล่าเรียน ด้วยการห้ามไม่ให้ออกไปทำกิจกรรมอื่นๆ เพราะเกรงว่าจะกระทบผลการเรียน ทั้งนี้พ่อแม่ของพานก็เป็นเหมือนกับพ่อแม่โดยทั่วไปในสังคมเอเชีย ที่เทิดทูนลูกที่มีความสามารถและประสบความสำเร็จด้านการศึกษาและการงานแซงหน้าคนอื่นได้ ทุ่มเทความสนใจด้านการศึกษาของเด็กมาเป็นอันดับหนึ่ง
ภาพ Huei Hann Pan (พ่อ) และ Bich Ha Pan (แม่)
cr photo :www.thestar.com
ด้วยความคาดหวังอย่างสูงของพ่อแม่ พาน จึงแต่งเรื่อง และปกปิดมาตลอดว่า เธอเป็นเด็กเรียนดี เรียนเก่งได้ทุนการศึกษา และนั่นคือจุดเริ่มต้นของการโกหก และนำไปสู่การฆาตรกรรม
คาเรน โฮ (Karen Ho ) นักข่าวสาวชาวแคนาดาเชื้อสายชาวฮ่องกงประจำนิตยสาร “โตรอนโต ไลฟ์” ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมโรงเรียนมัธยมแคทอลิกแมรี วาร์ด ในสคาร์โบโรห์เหนือ (Scarborough) เขียนบทความ โดยอ้างอิงจากหลักฐานในชั้นศาล รวมไปถึงการให้สัมภาษณ์ และการสอบปากคำ เพื่อปะติดปะต่อเรื่องที่เกิดขึ้นกับพาน รวมไปถึงมหกรรมการโกหกของพาน ภายใต้งานเขียนหัวข้อ “Jennifer Pan’s Revenge: the inside story of a golden child, the killers she hired, and the parents she wanted dead” หรือ การแก้แค้นของ เจนิเฟอร์ พาน : เรื่องลับของอภิชาติบุตรที่ถูกเก็บเงียบ “นักฆ่าที่เธอจ้าง และพ่อแม่ที่เธอหวังให้จบชีวิต”ผ่านนิตยสารโตรอนโต ไลฟ์ในวันที่ 22 กรกฎาคม 2015
โดยโฮกล่าวว่า โรงเรียนมัธยมของคนทั้งคู่เป็นโรงเรียนแบบสหศึกษาที่มีการเรียนรวมกันทั้งชายและหญิง รวมไปถึงมีนักเรียนที่มีที่มาหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น ผิวขาว หรือผิวเหลือง ซึ่งนอกจากที่พานจะเรียนหนังสือในช่วงกลางวันในวันระหว่างสัปดาห์แล้ว เธอยังมีงานอดิเรก เป็นต้นว่า ว่ายน้ำ และฝึกวูซู แต่ทว่าจากการค้นพบของโฮเกี่ยวกับเพื่อนคนนี้ซึ่งมักแสดงออกถึงความมั่นใจในตัวเอง และการมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีในโรงเรียนแล้ว ภายใต้เปลือกนอกที่พานได้สร้างขึ้นนั้นกลับปกปิดความรู้สึกไม่มั่นใจในตัวเอง อับอาย และความรู้สึกที่โหยหาตลอดเวลา และสิ่งที่เป็นประจักษ์พยานถึงตัวตนจริงของพานที่มีคนจำนวนน้อยที่ได้พบคือ “ร่องรอยการทำร้ายตัวเองที่มีบาดแผลบริเวณต้นแขน”
นอกจากนี้โฮยังพบว่า เพื่อที่จะทำให้พ่อ และแม่ที่คาดหวัง กับการศึกษาสูงด้วยคะแนนเกรดเฉลี่ย 4.00 ทั้งที่ในความจริงแล้วพานเรียนได้ระดับเกรด B เท่านั้น จึงส่งผลให้เธอเริ่มการโกหกด้วยการ“ปลอมแปลงเอกสารทุกชนิดที่เกี่ยวข้องกับตัวเธอ” เพื่อให้สอดคล้องกับเรื่องราวที่เธอสร้างขึ้น เป็นต้นว่า สมุดแสดงผลการเรียน จดหมายทุนการศึกษา รวมไปถึงทรานสคริปต์จากมหาวิทยาลัยชื่อดังเพื่อปกป้องภาพลักษณ์ความเป็น “เด็กเก่ง” ให้พ่อแม่เชื่อ!!! ทั้งที่ในความจริงแล้ว พานไม่แม้กระทั่งสำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย
โฮกล่าวต่อว่า พานแก้ผลการเรียนในสมุดรายงานผลการศึกษาตลอดช่วงมัธยมปลาย และเธอยังได้รับพิจารณาจากทางมหาวิทยาลัยให้เรียนต่อในระดับอุดมศึกษาที่มหาวิทยาลัยไรซัน(Ryerson) ในเมืองโตรอนโต ในขณะที่เธอยังศึกษาอยู่ในระดับชั้นมัธยมปลาย แต่ทว่าเป็นเพราะพานไม่สามารถผ่านการสอบวิชาแคลคูลัสในปีสุดท้ายของการเรียน จึงทำให้เธอไม่สามารถสำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาไปได้ และมีผลทำให้มหาวิทยาลัยไรซันแห่งนี้ได้ยกเลิกสิทธิ์การเข้าศึกษาต่อของเธอนั่นเอง
ทั้งนี้เป็นเพราะ พานเกรงว่า พ่อ และแม่ของเธอ จะขุดคุ้ยประวัติการเรียนช่วงมัธยมปลาย จึงทำให้เธอตัดสินใจโกหกกับคนทั้งคู่ว่า เธอจะเริ่มเข้าเรียนต่อในระดับอุดมศึกษาที่มหาวิทยาลัยไรซันในภาคฤดูใบไม้ผลิโดยพานกล่าวว่า เธอวางแผนจะเข้าศึกษาด้านวิทยาศาสตร์เป็นเวลา 2 ปีที่นั่นก่อนที่จะขอทรานสเฟอร์ไปยังคณะเภสัชศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยโตรอนโต อันเก่าแก่และมีชื่อ ซึ่งเป็นความหวังสูงสุดของผู้เป็นพ่อ ซึ่งก็ได้ผลพ่อของเธอพอใจมาก และซื้อคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊กเป็นของขวัญให้กับเธอด้วย จากนั้นเธอก็ดำเนินการโกหกต่อไปเรื่อยๆ ด้วยการซื้อหนังสือเรียนเท็กซ์บุ๊กมือสองเกี่ยวกับวิชาชีววิทยา และวิชาฟิสิกต์ รวมไปถึงอุปกรณ์เครื่องเขียนสำหรับการเรียนเพื่อตบตาผู้เป็นพ่อ และแม่
ในส่วนของค่าเล่าเรียน สื่อออสเตรเลียรายงานว่า พานปลอมแปลงเอกสารที่ระบุในตอนแรกว่า เธอได้รับทุนกู้ยืม OSAP แต่เธอกลับบอกกับพ่อของเธอว่าได้รับทุนการศึกษามูลค่า 3,000 ดอลลาร์จากแคนาดา และในทุกวันพานต้องแบกหนังสือและอุปกรณ์การเรียนมุ่งหน้าเข้าเมืองไปดาวน์ทาวน์ โดยเดินทางด้วยระบบการขนส่งสาธารณะของแคนาดาไปยังห้องสมุดประชาชน เพื่อทำให้ทั้งพ่อและแม่ต่างเข้าใจว่า เธอเดินทางไปเข้าเรียนสม่ำเสมอ จนในที่สุดความก็แตก!!! ในช่วงวันสำเร็จการศึกษาจากมหวิทยาลัยโตรอนโต พานโกหกพ่อแม่ว่า ไม่สามารถเข้าร่วมพิธีได้ เพราะบัตรไม่พอ จึงทำให้พ่อกับแม่สงสัย และบีบบังคับพานจนที่สุดเธอก็สารภาพออกมา
'เจนนิเฟอร์ พาน' ถือกระถางธูป พิธีศพของผู้เป็นแม่ พร้อมกับน้องชาย 'เฟลิกซ์'
cr photo :www.yorkregion.com
หลังจากพ่อแม่รู้ว่าเรื่อง ''ทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องโกหกทั้งสิ้น" ก็รู้สึกผิดหวังอย่างรุนแรง หลังจากนั้นพวกเขาก็ปฏิบัติต่อเธอไม่เหมือนเดิม สถานภาพความเป็นคนพิเศษในบ้านไม่มีอีกต่อไป ทำราวกับว่าเธอเป็นเด็กๆ ที่ไม่ใช่อายุ 28 สร้างกฎเกณฑ์ ไม่อนุญาตให้เธอใช้โทรศัพท์ คอมพิวเตอร์ รวมไปจนถึงห้ามออกไปเที่ยว หรือไปพบปะแฟนหนุ่ม แดเนียล หว่อง ที่เธอคบและรู้จักมาตั้่งแต่ยังเด็กๆ
ซิดนีย์ มอร์นิง เฮอรัลด์ รายงานต่อว่า พานยังรู้สึกเคียดแค้นบิดามารดาของตัวเองในสิ่งที่เธอได้รับ ที่ถึงแม้ว่าเธอจะได้รับเสรีภาพมากขึ้นกว่าเดิม และนั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้เธอมีความคิดว่า ชีวิตของเธอจะสุขขนาดไหน...หากไม่มีคนทั้งคู่อยู่ต่อในโลกใบนี้ จากสาเหตุที่คนทั้งคู่ทำให้พานรู้สึกเหมือนต้องถูกจองจำแต่ในบ้านทั้งชีวิต
จากชั้นไต่สวนของศาลแคนาดา ทำให้รู้ว่า พานได้จัดฉากให้ดูเหมือนโจรพร้อมอาวุธเข้ามาปล้นบ้านตัวเอง โดยตัวเธอสวมบทบาทเป็นพยานในเหตุการณ์ที่ช่วยเหลืออะไรไม่ได้ เมื่อเดวิด มิลวากานาม (David
Mylvaganam) เลนฟอร์ด ครอว์ฟอร์ด ( Lenford Crawford) และอีริก คาร์ธี( Eric Carty) คนทั้ง 3 ที่ถูกเธอจ้างวานเพื่อเป็นมือสังหารโหดพ่อและแม่ และจากการจัดฉากปล้นในครั้งนั้น เป็นผลทำให้ผู้เป็นแม่เสียชีวิตจากกระสุน ในขณะที่พ่อได้รับบาดเจ็บสาหัส ส่วนพานผู้เป็นลูกสาว และอยู่ในที่เกิดเหตุ ได้โทรศัพท์ขอความช่วยเหลือเหตุสายด่วนฉุกเฉิน 911 เพื่อกลบเกลื่อนให้สมจริง
ทั้งนี้ในการตัดสินโทษศาลแคนาดาพิพากษาตัดสินให้พานได้รับการลงโทษข้อหาฆ่าคนโดยเจตนา โดยการจำคุกตลอดชีวิต และไม่สามารถขอทำทัณฑ์บนได้เป็นเวลา 25 ปี ส่วนข้อหาพยายามฆ่านั้น ศาลตัดสินโทษจำคุกตลอดชีวิตเช่นกัน โดยพานต้องชดใช้โดยการถูกจำคุกไปพร้อมกันทั้งสองข้อหา ส่วนผู้สมรู้ร่วมคิดที่พานจ้างวานให้ฆ่านั้น มิลวากานาม และครอว์ฟอร์ดถูกตัดสินโทษเช่นเดียวกับพาน ส่วนอีริก คาร์ธีที่ไม่ยอมรับสารภาพในความผิด ศาลแคนาดาสั่งเลื่อนการพิพากษาไปในต้นปี 2016
3.เอ็ดมันด์ อีมิล เคมเปอร์ เด็กหนุ่มสุดเหี้ยมไอคิวสูง
ฆ่าแม่ตัวเอง และนักศึกษาสาวหลายคน
สาเหตุการเป็นฆาตรกร: การเลี้ยงดูของครอบครัวตั้งแต่เด็ก
มีการกดดันตัวเขามากเกินไป
cr photo: wikimedia
เอ็ดมันด์ อีมิล เคมเปอร์ เกิดเมื่อเดือนธันวาคม 1948 ที่เบอร์แบงก์ รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา เขาเติบโตมาพร้อมกับน้องสาวอีก 2 คน และตัวเขาอยู่กับครอบครัวที่มีพ่อแม่ทะเลาะกันเป็นประจำ จนสุดท้ายพ่อแม่ของเขาก็แยกทางกันไป
ต่อมาในเดือนสิงหาคม ปี 1964 แคมเปอร์ได้ถูกส่งตัวไปอยู่กับ ตาและยาย ในไร่ปศุสัตว์ และจุดเริ่มต้นการเป็นฆาตกรของเขาก็ได้เริ่มขึ้น เขาได้ยิงตากับยายของตัวเองจนเสียชีวิต โดยเขาบอกเหตุผลว่า "แค่อยากรู้ว่าจะรู้สึกยังไงกับการฆ่ายาย" จากเหตุการณ์สะเทือนขวัญที่ทำให้มือของแคมเปอร์เปื้อนเลือดเป็นครั้งแรกนั้นเขามีอายุเพียง 16 ปีเท่านั้น! ซึ่งเขาได้รับการวินิจฉัยครั้งนั้นว่าเป็นผู้มีบุคลิกภาพผิดปกติ อันเกิดจากการถูกรบกวนทางอารมณ์ เกิดรอยแผลในใจ เก็บกดจนสติวิปลาส ห่าม ขวางโลก จึงถูกส่งไปรักษาตัวใน รพ.อตาสคาเดโร สเตท ซึ่งเป็นสถานที่รักษาอาการสำหรับอาชญากรวิกลจริต
ต่อมาในปี 1969 แคมเปอร์ได้รับการปล่อยตัวออกมาสู่ภาย ตอนนั้นเขามีอายุได้ 21 ปี เนื่องจากเข้าสู่วัยหนุ่ม ส่งผลให้แคมเปอร์มีรูปร่างสูงใหญ่ (สูงถึง 6 ฟุต 9 นิ้ว หนักเกือบ 300 ปอนด์) หลังจากออกจากรพ. มาเขาก็ได้ใช้ชีวิตอยู่ภายใต้การดูแลของแม่มาตลอด และได้ซื้อรถเป็นของตัวเอง ขับรถล่องไปล่องมาตามถนนทางหลวง และมักจะรับเด็กสาวที่โบกรถขออาศัยไปด้วย
3 ปีต่อมา เดือนพฤษภาคม 1972 ปฐมบทแห่งฆาตกรต่อเนื่องก็เปิดฉากขึ้นอีกครั้ง เคมเปอร์เริ่มจับ นักศึกษาสาวมาฆ่า เริ่มจากใช้ปืนจี้จับนักศึกษาสาววิทยาลัยเฟรสโนสเตท 2 คน แล้วพาขึ้นรถไปยังหุบเขาเปลี่ยว จากนั้นก็แทงทั้งคู่จนตาย แล้วตัดศีรษะ หั่นศพ เสร็จแล้วก็ใช้กล้องโพลารอยด์ถ่ายภาพเก็บไว้ ก่อนจะนำศพไปฝังที่เทือกเขาซานตาครูซ แล้วเก็บเฉพาะศีรษะของทั้งสองไว้ จากนั้นจึงทิ้งไป 4 เดือนต่อมา นักศึกษาสาวชาวญี่ปุ่นวัย 15 ปี ก็ได้พบชะตากรรมเดียวกัน และ 4 เดือนหลังจากนั้นเขาก็เล่นงานเหยื่ออีกราย เป็นนักศึกษาวิทยาลัยคาบริลโล และเลือกเก็บศีรษะไว้ในกล่องตู้เสื้อผ้า ก่อนจะนำไปฝังที่สนามหลังบ้าน และเลือกวางศีรษะหันไปทางหน้าต่างห้องนอนของแม่ เพราะเขานึกถึงคำพูดของแม่ที่พูดอยู่เสมอว่า ''อยากให้มีคนมองแม่"
ต่อมาในเดือนกุมภาพันธ์ 1973 เคมเปอร์เห็นผู้หญิงสองคนยืนโบกรถอยู่ที่วิทยาลัยซานตาครูซ เมอริลล์ ซึ่งแม่ของเขาทำงานในฝ่ายธุรการที่นั่น เขาขับรถเข้าไปโฉบเด็กสาวคนนั้น แล้วระเบิดกระสุนใส่ทันที เมื่อถึงบ้านเขาพบว่าแม่กลับมาก่อนแล้ว จึงไม่กล้านำศพเข้าไปในบ้าน เลยใช้กระโปรงท้ายรถเป็นเขียงหั่นศีรษะศพ และนำเอาศพไปล้างเลือดในเช้าวันรุ่งขึ้น จากนั้นก็นำไปทิ้งในหุบเขาเปลี่ยวใกล้ๆ ระแวกบ้านของเขา ความเหี้ยมโหดขั้นสุดของแคทเปอร์ก็ได้เกิดขึ้นในตอนรุ่งเช้าวันอีสเตอร์ในปีเดียวกัน เขาได้ทำการฆ่าแม่แท้ๆ ของตัวเอง! ด้วยการใช้ค้อนทุบหัวจนแม่สิ้นใจ จากนั้นก็ทำการเชือดคอ ตัดศีรษะ และแยกออกมาใส่ถุงขยะ ด้วยเหตุผลที่ว่า "แม่เป็นหญิงสารเลว แผดเสียงตะคอกใส่ผมตลอดเวลาหลายปี สมควรตาย" ความโหดร้ายของเขายังไม่พอเพียงเท่านั้น หลังจากที่ฆ่าแม่ตาย เขาได้เชิญเพื่อนสนิทของแม่มานั่งกินข้าวมื้อสุดพิเศษที่บ้าน เมื่อมาถึงแขกผู้รับเชิญพูดขึ้นว่า"นั่งกันเถอะ ฉันเหมือนคนตายแล้ว" แล้วเคมเปอร์ก็จัดการให้ตายจริงๆ ด้วยการรัดคอแล้วตัดศีรษะ และเขาได้ทิ้งโน้ตให้ตำรวจไว้ว่า"แม่ไม่ต้องทนทุกข์ทรมานในอุ้งมือนักฆ่ามหาโหดคนนี้อีกต่อไป เป็นการหลับอย่างรวดเร็วเช่นที่ผมต้องการ...ท่านสุภาพบุรุษที่ต้องทำลวกๆ ขาดความสมบูรณ์แบบนี้ เพราะไม่มีเวลาพอ ผมมีอีกหลายอย่างต้องทำ" เมื่อจัดการกับศพของเพื่อนแม่แล้ว เคมเปอร์ก็ขับรถออกจากบ้าน ขับไปเรื่อยๆ อย่างไร้จุดหมาย มุ่งหน้าไปทางตะวันออกจนถึงเมืองพิวโบล รัฐโคโลราโด เขาจึงจอดรถ แล้วโทรศัพท์หาตำรวจซานตาครูซ บอกว่าเขาคือคนฆ่านักศึกษา แต่ตำรวจกลับไม่เชื่อ แคมเปอร์ก็พยายามโทรกลับไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนตำรวจโคโลราโดต้องส่งรถไปรับตัวมา และเมื่อพิสูจน์ได้ว่าเขาเป็น 'ฆาตกร' จึงถูกนำตัวส่งฟ้องศาล ในชั้นศาลเคมเปอร์ได้ให้เหตุผลที่ฆ่าเด็กนักศึกษาสาวเหล่านั้นว่า "ตอนมีชีวิตอยู่ พวกเธอทำตัวเมินเฉย ไม่เข้ามามีส่วนในชีวิตผม ขณะที่พวกเธอกำลังจะถูกฆ่า ผมไม่ได้คิดอะไรนอกจากว่า พวกเธอกำลังจะเป็นของผม นั่นเป็นทางเดียวที่พวกเธอจะเป็นของผมได้"
cr photo: www.corbisimages.com
นอกจากนี้ เคมเปอร์ยังมีความคิดที่ฟังแล้วน่าตื่นตระหนกมาก คือ เขาทำสิ่งเหล่านี้เพื่อบอกตำรวจซานตาครูซว่า เรื่องที่เกิดขึ้นนี้ร้ายแรงอย่างไร และพวกเขาต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่เลวร้ายแค่ไหน เขาเคยคิดจะฆ่าคนในตึกทั้งแถวที่พักอาศัย ไม่เฉพาะที่เขาอยู่เท่านั้น แต่รวมถึงบ้านทุกหลังที่อยู่ใกล้เคียง เบ็ดเสร็จตกราว 10-12 ครอบครัว เป็นการบุกเข้าไปเล่นงานอย่างช้าๆ แต่เงียบกริบ... ถึงเขาจะฆ่าแม่ตัวเอง และนักศึกษาสาวอีกหลายศพ ผลการตัดสินของศาลสรุปออกมาว่า เคมเปอร์มีจิตปกติดี และมีความผิดในข้อหาฆ่าคนตาย 8 กระทง เขาขอให้ศาลลงโทษด้วยการทรมานจนตาย แต่ศาลตัดสินให้จำคุกตลอดชีวิต โดยไม่มีการปล่อยตัวออกมาอย่างเด็ดขาด
ภายหลังถูกรับโทษอยู่ในเรือนจำ นักจิตวิทยาได้ทำการศึกษาเกี่ยวกับสภาพจิตของเคมเปอร์ และคดีที่ก่อขึ้น พบว่าเขามีไอคิวสูงถึง 145 ไม่กร่าง ไม่ยโส โอหัง ไม่เสียใจที่กระทำผิด เยือกเย็น พูดเสียงเบา และนุ่มนวล ตลอด 5 ปีแรกในคุก เคมเปอร์เรียนรู้เรื่องจิตวิทยาได้มาก สามารถวิเคราะห์พฤติกรรมของตัวเองได้อย่างถูกต้อง เขาเล่าว่า กลยุทธ์รับเหยื่อขึ้นรถโดยไม่ให้เกิดความสงสัย คือ หลังหยุดรถถามเธอว่าจะไปไหน แล้วทำทีมองนาฬิกา คล้ายกับชั่งน้ำหนักดูว่ามีเวลาพอจะไปส่งหรือไม่ วิธีนี้ทำ
ให้พวกเธอเลิกวิตกกังวลและตายใจ เพราะคิดว่าคนที่มีธุระยุ่งคงไม่มาขับรถตระเวนรับผู้หญิงไปทำมิดีมิร้าย
นอกจากนี้นักจิตวิทยาที่ทำการศึกษาเคมเปอร์ สรุปว่า การฆ่าของเขาเป็นพฤติกรรมที่แสดงออกซึ่งความคิดที่อยากกำจัดแม่ ผู้วางอำนาจบาตรใหญ่ แม่ผู้ซึ่งเคยพูดว่าเขาไม่มีวันได้แต่งงานกับนักศึกษาสาวสวยที่หลงรัก และเคมเปอร์ก็เชื่อคำพูดนั้น
ดร.วัลลภ ปิยะมโนธรรม นักจิตวิทยาชื่อดัง และที่ปรึกษาศูนย์ให้คำปรึกษา และพัฒนาศักยภาพมนุษย์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) ให้ความเห็นว่า จากการศึกษาของนักจิตวิทยาชาวอเมริการ และตะวันตก มีข้อมูลตรงกันว่า ฆาตกรต่อเนื่องเป็นคนที่มีบุคลิกภาพแปรปรวน คนกลุ่มนี้จะมีความรู้สึกอาฆาตสังคม ต่อต้านสังคม เมื่อภาวะจิตใจต่อต้าน หรืออาฆาตมากขึ้น จนถึงขั้นใช้ความรุนแรงฆ่าคน เมื่อเริ่มมีครั้งแรกก็มีครั้งที่สอง สุดท้ายจะติดเป็นนิสัย คนลักษณะนี้จะฆ่าคนต่อไปเรื่อยๆ คล้ายติดยาเสพติด สาเหตุที่ทำให้เกิดฆาตกรต่อเนื่องนั้น ดร.วัลลภ อธิบายว่า มีที่มาจาก 2 ปัจจัยหลัก คือ มาจากการเลี้ยงดูของครอบครัวนั้นๆ ว่ามีบรรยากาศ ลักษณะการเลี้ยงดูอย่างไร ปัจจัยที่สองเกิดจากสังคมสิ่งแวดล้อมรอบๆ ตัว กรณีของเคมเปอร์นั้น สาเหตุน่าจะมาจากปัจจัยแรก คือ การเลี้ยงดู ซึ่งเกิดการบ่มเพาะจากครอบครัวตั้งแต่เล็ก มีการกดดันตัวเขามากเกินไป จนกลายเป็นตัวจุดระเบิดทำให้เขาหาทางออกด้วยการฆ่าคนอย่างต่อเนื่อง