ลงมติปลดพ้นเจ้าอาวาส-เจ้าคณะตำบล พระ‘เซ็กซ์โฟน’
คณะสงฆ์อำเภอเมืองปทุมธานี ตัดสินปลดเจ้าอาวาสวัดบางพูน ออกจากตำแหน่งเจ้าอาวาสและเจ้าคณะตำบลบางกะดี (เขต 1) เล่น “เซ็กซ์โฟน” กับเมียชาวบ้าน ตามที่มีผู้ร้องเรียนไว้ พร้อมส่งคลิปเสียงไว้เป็นหลักฐาน ขณะที่พระครูฉาวแบ่งรับแบ่งสู้ยอมรับคำพูดอาจเข้าข่ายบ้าง ประกอบกับเป็นพระสังฆาธิการ ต้องประพฤติปฏิบัติตามจริยาพระสังฆาธิการ ตามกฎมหาเถรสมาคม ตัดสินพระครูฉาวต้องอาบัติสังฆาทิเสส และให้พ้นจากตำแหน่งเจ้าอาวาสและเจ้าคณะตำบล ด้านพระครูฉาวยอมรับคำวินิจฉัย ขอกลับไปอยู่วัดในฐานะพระลูกวัด
คณะสงฆ์สั่งปลดเจ้าอาวาสและเจ้าคณะตำบล จากกรณีถูกร้องเรียน “เซ็กซ์โฟน” เมียชาวบ้านรายนี้ เปิดเผยขึ้นเมื่อเวลา 15.00 น. วันที่ 8 ก.ค. ที่วัดโสภาราม อ.เมืองปทุมธานี พระครูโสภณพิทักษ์ เจ้าคณะอำเภอเมืองปทุมธานี ฝ่ายมหานิกาย เจ้าอาวาสวัดโสภาราม พร้อมคณะสงฆ์ชั้นปกครองใน อ.เมืองปทุมธานี อาทิ พระครูปทุมรัตนพิทักษ์ รองเจ้าคณะอำเภอเมืองปทุมธานี พระครูสิริปทุมาภรณ์ เจ้าคณะตำบลบางหลวง พระครูโพธิธรรมโกศล เจ้าคณะตำบลบางปรอก และพระมหาถาวร เจ้าคณะตำบลบางขะแยง ร่วมกันอ่านคำวินิจฉัยกรณีพระครูโกศลสิทธิการ เจ้าคณะตำบลบางกะดี (เขต 1) เจ้าอาวาสวัดบางพูน ประพฤติตัวไม่เหมาะสม โดยพระครูโกศลสิทธิการฟังคำวินิจฉัยด้วยตัวเอง มี พ.อ.โกศล โกศลยุทธสาร รอง ผบ.ปตอ.2 นำกำลังทหารร่วมกับตำรวจ สภ.เมืองปทุมธานี มาคอยดูแลความสงบ
พระครูโสภณพิทักษ์ เจ้าคณะอำเภอเมืองปทุมธานี กล่าวว่า สืบเนื่องจากเมื่อกลางเดือน เม.ย.2557 มีผู้ร้องเรียนพระครูโกศลสิทธิการ เจ้าอาวาสวัดบางพูน พูดจาแทะโลม เพื่อสำเร็จความใคร่ หรือ “เซ็กซ์โฟน” ทางโทรศัพท์กับภรรยาของผู้ร้องหลายครั้ง ซึ่งได้รายงานเสนอไปยังเจ้าคณะจังหวัดปทุมธานีตามลำดับชั้นและมีการเรียกพระครูโกศลสิทธิการมาสอบถาม ยอมรับว่ามีการพูดคุยทางโทรศัพท์จริง แต่บางครั้งก็ใช่ บางครั้งก็ไม่ชัดเจน ส่วนการสำเร็จความใคร่นั้น แกล้งพูดว่าน้ำอสุจิเคลื่อน หรือสำเร็จความใคร่แล้ว โดยไม่ทราบว่าเข้าข่าย ตามสิกขาบทที่ 1 และ 3 อาบัติสังฆาทิเสส จึงมีการแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวนข้อเท็จจริง
เจ้าคณะอำเภอเมืองปทุมธานี กล่าวต่อว่า พระครูโกศลสิทธิการ เดิมชื่อนายสิทธิชัย กตติญาณ์ อายุ 42 ปี บวชมาแล้ว 22 พรรษา เป็นเจ้าอาวาสวัดบางพูนมา 16 ปี เป็นเจ้าคณะตำบลบางกะดี (เขต 1) 12 ปี รู้จักกับภรรยาของผู้ร้อง เมื่อปี 2555 ครั้งที่ภรรยาผู้ร้องนำบุตรชายมาอุปสมบทที่วัดบางพูน และมีการพูดคุยทั้งทางวาจาและทางโทรศัพท์จนมีความสนิทสนมมากขึ้นเป็นลำดับ ซึ่งผู้ร้องระบุว่าพระครูโกศลสิทธิการมีพฤติกรรมไม่เหมาะสมแก่สมณวิสัย พูดคุยทางโทรศัพท์จนสำเร็จความใคร่หลายครั้งหลายหน ต่างกรรมต่างวาระ มีการส่งภาพและข้อความอักษร ให้แก่กันและกัน โดยผู้ร้องได้บันทึกเสียง ข้อมูลต่างๆทางโทรศัพท์มือถือ
พระครูโสภณพิทักษ์กล่าวอีกว่า แม้พระครูโกศลสิทธิการให้การว่า มีการพูดคุยจริงและบางถ้อยคำอาจมีเข้าข่ายนั้นบ้าง บางครั้งเป็นการพูดคุยเรื่องอื่นๆบ้าง เรื่องการสำเร็จความใคร่ทางโทรศัพท์กับภรรยาผู้ร้องนั้น มีจริงบ้างและอาจเป็นวาระอื่น ไม่อาจยืนยันได้ว่าสำเร็จความใคร่ในขณะนั้น ส่วนเรื่องคลิปเสียงบางถ้อยคำจริง แต่บางถ้อยคำไม่อาจระบุได้เพราะไม่ชัดเจน ถือว่าผิดวินัยสังฆาทิเสส โดยทางคณะกรรมการได้สอบถามพระครูโกศลสิทธิ–การว่าการกระทำดังกล่าวนั้น นอกเหนือจากผิดพระ ธรรมวินัยแล้ว ยังผิดจริยาพระสังฆาธิการ แม้พระครูโกศลฯตอบเพราะไม่ทำให้หน้าที่เจ้าอาวาสและเจ้าคณะตำบลบกพร่อง การทำหน้าที่ยังสมบูรณ์ครบถ้วน
เจ้าคณะอำเภอกล่าวสรุปว่า ข้อพึงวินิจฉัย พระครูโกศลสิทธิการ อุปสมบทที่วัดบางพูน มีความรู้สอบได้นักธรรมชั้นเอก ประโยค 1-2 ต่อมาได้แต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดบางพูนและเจ้าคณะตำบล ควบคู่กับเป็นพระอุปัชฌาย์ ตามลำดับ และพระครูโกศลสิทธิการทราบดีอยู่แล้วว่า ตนเป็นพระภิกษุ โดยพระวินัยและตามกฎหมายมหาเถรสมาคม ฉบับที่ 17 (2536) ว่าด้วยการแต่งตั้งถอดถอน พระอุปัชฌาย์ เมื่อเป็นพระสังฆาธิการต้องประพฤติปฏิบัติตามจริยาพระสังฆาธิการ ตามกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ 24 (พ.ศ.2541) ความว่าพระสังฆาธิการ ต้องเอื้อเฟื้อต่อกฎหมาย พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ กฎกระทรวง กฎมหาเถรสมาคม ข้อบังคับ ระเบียบ คำสั่ง มติ ประกาศ พระบัญชาสมเด็จพระสังฆราชสังวรและปฏิบัติตามหลักพระธรรมวินัยโดยเคร่งครัด ตัดสินว่าพระครูโกศลสิทธิการต้องอาบัติสังฆาทิเสส และต้องพ้นจากการเป็นเจ้าอาวาสและเจ้าคณะตำบลดังกล่าว
ทางด้านพระครูโกศลสิทธิการให้สัมภาษณ์หลังฟังคำตัดสินว่า อาตมาไม่ขอโต้ตอบ ยอมรับกับคำวินิจฉัยของสงฆ์ และจะกลับไปอยู่วัด เป็นลูกวัด แบบไม่มีข้อโต้แย้งอะไร