หน้าแรก ตรวจหวย เว็บบอร์ด ควิซ Pic Post แชร์ลิ้ง หาเพื่อน Chat หาเพื่อน Line หาเพื่อน Team Page อัลบั้ม คำคม Glitter เกมถอดรหัสภาพ คำนวณ การเงิน ราคาทองคำ กินอะไรดี
ติดต่อเว็บไซต์ลงโฆษณาลงข่าวประชาสัมพันธ์แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสมเงื่อนไขการให้บริการ
News บอร์ดต่างๆค้นหาตั้งกระทู้

ทนายธรรมราชไขปริศนา! เผยต้นตอภัยพิบัติรุนแรง ชาวเน็ตฟังแล้วถึงกับอึ้ง

โพสท์โดย bbb1236555

ทนายดังโซเชียลจุดดราม่า! โพสต์ชี้ “ภัยพิบัติรุนแรงเกิดจากคนลบหลู่พระสงฆ์–ห่างศีลธรรม” ชาวเน็ตสวนกลับลั่น ทำไมน้ำยังท่วมวัด? — เมื่อความเชื่อปะทะความจริงท่ามกลางวิกฤตน้ำท่วมภาคใต้

ท่ามกลางความเดือดร้อนครั้งใหญ่ของพี่น้องชาวภาคใต้ ที่กำลังเผชิญสถานการณ์น้ำท่วมหนักในหลายจังหวัด โดยเฉพาะพื้นที่สงขลา หาดใหญ่ นาหม่อม สะเดา จะนะ รัตภูมิ และบางกล่ำ ที่ได้รับผลกระทบกว่า สองแสนเจ็ดหมื่นครัวเรือน ข้อมูลจากหน่วยงานรัฐชี้ชัดว่าเป็นผลกระทบจากร่องมรสุมและมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่กำลังก่อตัวรุนแรง ทำให้ปริมาณน้ำฝนตกสะสม และทำให้คลองสายหลักหลายแห่งเอ่อล้นตลิ่งจนเกิดน้ำท่วมวงกว้างต่อเนื่องหลายวัน

ทว่าท่ามกลางวิกฤตที่ประชาชนกำลังดิ้นรนเอาชีวิตรอด ทนายความชื่อดังบนโลกออนไลน์ “ทนายธรรมราช สาระปัญญา” เจ้าของเพจ “ธรรมราช ทนายความเพื่อชาวพุทธ” ได้ออกมาโพสต์ข้อความที่กลายเป็นดราม่าอย่างหนัก โดยระบุว่า “ภัยพิบัติรุนแรงเกิดจากการที่ผู้คนห่างไกลทาน–ศีล–ภาวนา และพากันลบหลู่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์”

ข้อความดังกล่าวกลายเป็นประเด็นเพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังโพสต์ เพราะถูกแชร์ออกไปพร้อมเสียงวิจารณ์จำนวนมหาศาล โดยเฉพาะจากชาวเน็ตในพื้นที่ภาคใต้ที่กำลังประสบปัญหาน้ำท่วมอยู่พอดี ทำให้โพสต์ยิ่งถูกจับตามองและถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักมากขึ้นไปอีก

บทความนี้จึงขอเล่าเหตุการณ์ทั้งหมด พร้อมสรุปเสียงสะท้อนของประชาชน วิเคราะห์ความคิดความเชื่อที่หลากหลาย และตั้งคำถามว่า ในยามที่ผู้คนเดือดร้อน สิ่งที่ควรทำมากที่สุดคืออะไร?

 

น้ำยังไม่ลด แต่ดราม่าดันมาแรง — จุดเริ่มต้นของโพสต์ทนายธรรมราช

เหตุการณ์เริ่มต้นขึ้นเมื่อทนายธรรมราชโพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กส่วนตัว ความว่า:

 “ผมเชื่อว่า ภัยพิบัติที่รุนแรงนั้นเกิดจากการหนีห่างจากทาน ศีล ภาวนา ทั้งยังพากันลบหลู่ดูหมิ่นพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์”

ข้อความนี้ถูกนำไปตีความว่าเป็นการโยง “ภัยพิบัติทางธรรมชาติ” เข้ากับ “การไม่เคารพศาสนา” ซึ่งสำหรับบางคนอาจเป็นความเชื่อส่วนบุคคล แต่สำหรับผู้ที่กำลังเจอความทุกข์อย่างหนัก ย่อมสร้างความรู้สึกไม่พอใจเป็นธรรมดา

เมื่อโพสต์ดังกล่าวถูกแชร์ออกไปในหมู่ประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประสบอุทกภัยที่กำลังลำบากอยู่แล้ว ทำให้เสียงวิจารณ์เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว บางคนมองว่าเป็นการซ้ำเติม บางคนมองว่าความเชื่อส่วนบุคคลไม่ควรนำมาโยงเหตุการณ์ระดับประเทศที่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์รองรับอยู่แล้ว

ในขณะที่บางส่วนก็มองว่าทนายธรรมราชมีสิทธิ์เชื่อแบบนั้น เพียงแต่ควรคำนึงถึงช่วงเวลาและความรู้สึกของผู้ที่กำลังเผชิญวิกฤตด้วย

เสียงสะท้อนชาวเน็ตระอุทั้งไทม์ไลน์ — “น้ำยังท่วมวัดเลยค่ะทนาย!”

หนึ่งในคอมเมนต์ที่ถูกแชร์มากที่สุด คือคำถามเจ็บแสบจากชาวเน็ตว่า

 “ทำไมน้ำยังท่วมวัดคะ? วัดใกล้ชิดพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ไม่พอเหรอคะ”

อีกคนหนึ่งตั้งข้อสังเกตแบบตรงไปตรงมาว่า

 “ท่านทนาย คุณจะเชื่ออะไรก็เรื่องของคุณ แต่ความจริงมันไม่เดินตามความเชื่อนะครับ ภัยพิบัติมันเกิดเพราะธรรมชาติ ไม่ใช่เพราะคนไม่กราบรูปปูนหรือพระที่คุณนับถือ”

นอกจากนี้ยังมีอีกหลายความเห็นที่วิพากษ์ในเชิงเหตุผล เช่นเรื่องภัยธรรมชาติในต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ หรือประเทศในยุโรปที่เจอพายุ ไฟป่า แผ่นดินไหว ทั้งที่ประชาชนในประเทศเหล่านั้นเป็นคริสต์ มุสลิม หรือไม่นับถือศาสนาเลย

ชาวเน็ตบางคนเขียนว่า

 “แล้วฟิลิปปินส์ที่นับถือคริสต์ โดนพายุทุกปี เขาลบหลู่พระสงฆ์ของพุทธหรือไง?”

เสียงวิจารณ์ที่หนักที่สุดคือการมองว่าทนายธรรมราช “ซ้ำเติมผู้ประสบภัย” ทั้งที่ตอนนี้หลายหมู่บ้านยังไม่สามารถกลับเข้าบ้านได้และต้องพักอาศัยตามศูนย์ช่วยเหลือชั่วคราว

 

ความเชื่อ vs ความจริงทางวิทยาศาสตร์ — เรื่องที่ต้องแยกจากกัน

สิ่งที่น่าสนใจคือเหตุการณ์นี้เป็นตัวอย่างชัดเจนว่า ความเชื่อส่วนบุคคลสามารถกระทบสังคมได้มากเพียงใดเมื่อเผยแพร่ในช่วงเวลาที่ไม่เหมาะสม

แม้หลายคนเคารพความเชื่อของทนายธรรมราช แต่สิ่งที่ประชาชนต้องการในเวลานี้ไม่ใช่คำตำหนิหรือคำสอนเรื่องศีลธรรม หากแต่เป็นข้อมูล ความช่วยเหลือ และกำลังใจที่เป็นประโยชน์ต่อสถานการณ์จริง

นักวิชาการหลายคนให้ข้อมูลไว้ตรงกันว่า

อิทธิพลของร่องมรสุม มรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ การสะสมของน้ำฝน การระบายที่ช้า รวมถึงภูมิประเทศ เป็นสาเหตุหลักของน้ำท่วมภาคใต้ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับความดีหรือความเลวของมนุษย์แต่อย่างใด

การอ้างว่าภัยพิบัติเกิดจากการลบหลู่ศาสนา จึงทำให้ชาวเน็ตจำนวนมากออกมา “ตั้งคำถามกลับ” ด้วยเหตุและผลมากมาย

 

สภาพพื้นที่จริง: น้ำยังสูง เต็มไปด้วยความลำบากของประชาชน

เพื่อเข้าใจบริบทของดราม่านี้ ต้องย้อนดูสถานการณ์พื้นที่จริงในสงขลาวันที่โพสต์ถูกเผยแพร่

น้ำท่วมสูงในกว่า 16 อำเภอ

มีผู้ได้รับผลกระทบกว่า 697,000 คน

คลองอู่ตะเภาเอ่อล้นอย่างรวดเร็ว

หมู่บ้านหลายแห่งถูกตัดขาด

เรือกู้ภัยจำนวนมากต้องทำงานตลอด 24 ชั่วโมง

บางพื้นที่มีเด็ก ผู้สูงอายุ และผู้ป่วยติดเตียงถูกอพยพจำนวนมาก

ในบางจุด เช่น อำเภอหาดใหญ่และบางกล่ำ ระดับน้ำสูงจนรถทุกชนิดไม่สามารถสัญจรได้

สิ่งเหล่านี้คือความจริงที่ประชาชนกำลังเผชิญ

จึงไม่น่าแปลกที่โพสต์ซึ่งโยงภัยพิบัติกับศีลธรรมจะถูกมองว่า “ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง”

 

บางคนกลับเห็นด้วย — เพราะความเชื่อเรื่องบาปบุญยังฝังรากลึกในสังคมไทย

แม้มีเสียงวิจารณ์จำนวนมาก แต่ก็มีอีกฝ่ายที่เข้ามาปกป้องทนายธรรมราช ทั้งเพราะความเชื่อด้านศาสนาและความคิดแบบดั้งเดิม เช่น

“ยุคนี้คนลบหลู่พระเยอะจริง ๆ”

“ศีลธรรมเสื่อมมาก บ้านเมืองเลยมีภัย”

“ความดีเป็นเกราะป้องกัน ใครไม่เชื่อก็เรื่องของเขา”

กลุ่มคนเหล่านี้เชื่อว่าศีลธรรมมีส่วนต่อความสงบเรียบร้อยของโลก และมองว่าโลกกำลังเข้าสู่ยุคเสื่อม การเกิดภัยพิบัติคือผลจากอกุศลกรรมของมนุษย์

นี่คือภาพสะท้อนว่าความเชื่อศาสนาในไทยยังมีอิทธิพลสูง และสามารถแบ่งผู้คนออกเป็นสองฝั่งได้ทันทีเมื่อเกิดเหตุการณ์ลักษณะนี้

 

ประเด็นชวนคิด: เราควรใช้ความเชื่อโจมตีช่วงเวลาที่คนลำบากหรือไม่?

คำถามนี้ถูกพูดถึงมากที่สุดในโซเชียล

แม้ทุกคนมีสิทธิ์เชื่อในสิ่งที่ตนศรัทธา แต่การใช้ความเชื่อนั้นไปอธิบายวิกฤตที่กำลังสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้คนจำนวนมาก อาจถูกมองว่าเป็นการไม่เข้าใจความรู้สึกของผู้ประสบภัย

ชาวเน็ตหลายคนมองว่าสิ่งที่ควรทำในตอนนี้คือ…

ช่วยกันแชร์ข้อมูลที่เป็นประโยชน์

ประสานงานหาทุน หาทรัพยากร

ให้กำลังใจ

ไม่สร้างความแตกแยก

ไม่ใช้ความเชื่อส่วนตัวมากล่าวโทษใคร

ขณะที่บางคนก็บอกว่า หากทนายธรรมราชตั้งใจเตือนใจสังคม ควรเลือกคำพูดที่อ่อนโยนและระมัดระวังมากกว่านี้ เพราะผู้คนในพื้นที่กำลังอยู่ในสภาวะจิตใจที่อ่อนไหว

 

บทสรุป — ดราม่าที่เกิดขึ้นไม่เกี่ยวกับศาสนาเท่ากับ “จังหวะและความรู้สึกของผู้ประสบภัย”

ความเชื่อนั้นเป็นสิ่งสวยงามเมื่ออยู่ในบริบทที่เหมาะสม แต่เมื่ออยู่ในช่วงเวลาที่ประชาชนกำลังต่อสู้กับภัยธรรมชาติ การโยงเหตุการณ์กับความศรัทธาทางศาสนามักจะถูกมองว่า “ไม่เหมาะสม” และอาจถูกตีความเป็นการตำหนิผู้เดือดร้อน

เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นว่า

สิ่งที่ผู้คนต้องการในยามวิกฤต ไม่ใช่คำกล่าวโทษ แต่เป็นความช่วยเหลือ ความเข้าใจ และการสื่อสารที่สร้างพลังบวก

ท้ายที่สุดแล้ว ความศรัทธาเป็นเรื่องส่วนบุคคล แต่ความทุกข์จากน้ำท่วมเป็นเรื่องของสังคมที่ทุกคนควรช่วยกันเยียวยา ไม่ใช่สร้างความแตกแยกเพิ่มเติม

เนื้อหาโดย: bbb1236555
⚠ แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสม 
bbb1236555's profile


โพสท์โดย: bbb1236555
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ
มหากาพย์ทะเลไทย กัมพูชา และบทบาทลับของเวียดนามเศรษฐีที่ร่ำรวยมากที่สุด อันดับหนึ่งในประเทศเมียนมาร์วิธีสังเกตภาพ AI ที่บางคนยังไม่รู้ทำไมคนไทยไม่เก่งภาษาอังกฤษ แม้จะใช้เวลาเรียนมานานหลายปี
Hot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด
ศาลสั่งจำคุก สิระ เจนจาคะ 1 ปี จำเลยให้การเป็นปนะโยชน์ลดโทษ จำคุก8 เดือน ไม่รอลงอาญา กรณี หมิ่นประมาท พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์สาวจีนเตะนักดับเพลิงญี่ปุ่นร่วงบันได ขณะพยายามช่วยเธอจากเหตุไฟไหม้บรรยากาศสุดคึกคัก! ทางม้าลายหัวถนนราชดำริ ปี 2535นางงามขอสละตำแหน่ง Miss Universe 2025
กระทู้อื่นๆในบอร์ด ข่าววันนี้
สุดสลด! เรือกู้ภัยล่มกลางภารกิจ เด็กน้อยหลุดมือแม่ หายไปต่อหน้าต่อตาเกิดเหตุบุกปล้นเซเว่นที่หาดใหญ่ ขณะเกิดน้ำท่วมหนักนักแสดงดัง "ไมเคิล เดลาโน่" เสียชีวิตแล้วลูกชายปลอมตัวเป็นแม่ที่เสียชีวิตเพื่อรับเงินบำนาญนาน 3 ปี
ตั้งกระทู้ใหม่