ดราม่าลุกเป็นไฟ! นศ.สาว ม.ดัง แฉนักแสดงหนุ่มนอกใจ ทั้งที่เลี้ยงดูมา 4 ปีเต็ม

เปิดใจ “พรีม” นศ.สาวปี 4 ร้องขอความเป็นธรรม หลังคบแฟนหนุ่มนักแสดง 4 ปี ทุ่มเททุกอย่างให้ แต่ถูกบล็อกหนี—พร้อมเผยนาทีหัวใจพัง และข้อเรียกร้องสุดท้าย

วันที่ 15 พฤศจิกายน 2568 กลายเป็นอีกหนึ่งวันที่สังคมออนไลน์ให้ความสนใจอย่างมาก เมื่อ น.ส.พรีม อายุ 23 ปี นักศึกษาชั้นปีที่ 4 จากมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่ง ตัดสินใจรวบรวมความกล้า นำหลักฐานสำคัญเข้าให้คำปรึกษาและร้องเรียนต่อ ทนายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ ประธานมูลนิธิที่ให้การช่วยเหลือผู้เสียหายหลากหลายคดี

เรื่องราวของเธอไม่ใช่เรื่องของการถูกหลอกลวงแบบทั่วไป แต่เป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่เกี่ยวข้องกับ “ความรัก ความไว้ใจ ความผิดหวัง และความรับผิดชอบของคนสองคน” ที่พัฒนาไปสู่การร้องขอความเป็นธรรม หลังจากคบหากับแฟนหนุ่มนักแสดงหน้าใหม่มากว่า 4 ปีเต็ม

พรีมยืนยันว่า สาเหตุที่เธอตัดสินใจออกมาพูด ไม่ใช่เพราะอยากทำลายฝ่ายชาย ไม่ได้อยากสร้างปัญหา หรือเรียกร้องกระแสใด ๆ แต่สิ่งที่เธอต้องการมีเพียงหนึ่งเดียว คือ

“ความยุติธรรมสำหรับตัวเอง ในฐานะคนคนหนึ่งที่เคยทุ่มเทความรักอย่างสุดหัวใจ”

บทความนี้จะถ่ายทอดเรื่องราวทั้งหมดอย่างละเอียด ตั้งแต่ช่วงเวลาความรัก ความหวังดีที่เธอมอบให้ฝ่ายชาย ระยะเวลาการคบกันตลอด 4 ปี การดูแลทุกอย่างด้วยตัวเอง จนถึงวันที่หัวใจพังทลายเมื่อจับได้ว่าฝ่ายชายคบซ้อน และเหตุการณ์ทั้งหมดนำไปสู่การร้องเรียนในครั้งนี้

พร้อมทั้งวิเคราะห์ประเด็นทางสังคม ความสัมพันธ์ที่มีความไม่เท่าเทียม การแบกรับภาระฝ่ายเดียว รวมถึงมุมมองของกฎหมายที่ทนายได้ให้ข้อมูลไว้อย่างชัดเจน

❤️ จุดเริ่มต้นของความรัก 4 ปี: ความหวังดี ความทุ่มเท และการ “เป็นที่พึ่งให้คนที่เรารัก”

พรีมเล่าด้วยน้ำเสียงสั่นน้ำตาคลอว่า ตลอดระยะเวลาที่คบกันกว่า 4 ปี เธอได้ทุ่มเททุกอย่างให้กับแฟนหนุ่มนักแสดงรายนี้ เพราะเชื่อว่าฝ่ายชายย้ายมาอยู่กรุงเทพฯ ไม่มีใครคอยดูแล ไม่มีครอบครัวอยู่ใกล้ ๆ จึงอยากเป็นที่พึ่งและกำลังใจให้เขาเสมอ

เธอเล่าว่าในช่วงแรกฝ่ายชายยังไม่ได้มีผลงานมากนัก รายได้ไม่แน่นอน ทำให้เธอเป็นคนช่วยเหลือในหลายด้าน ตั้งแต่เรื่องเล็ก ๆ อย่างค่าอาหาร ไปจนถึงเรื่องใหญ่ ๆ เช่น ค่าที่พัก ค่าเดินทาง และแม้กระทั่งช่วยสนับสนุนในเรื่องงานและการเรียนของฝ่ายชาย

“หนูทำทั้งหมดด้วยความเต็มใจ ไม่เคยคิดว่าจะต้องมาเรียกร้องอะไรคืนเลยค่ะ เพราะหนูรักเขามาก”

เธอกล่าวอย่างชัดเจน

การเป็น “คู่รักที่ฝ่ายหนึ่งทุ่มเทมากกว่า” อาจดูเป็นเรื่องปกติในหลายความสัมพันธ์ แต่ในกรณีของพรีม เธอยอมรับว่า ตัวเองแทบจะเป็นทุกอย่างให้แฟนหนุ่มรายนี้ ทั้งเพื่อน คนรัก ผู้สนับสนุน และที่พึ่งยามลำบาก

เธอบอกว่า ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองเสียเปรียบ เพราะในตอนนั้น “ความรัก” คือคำตอบทุกอย่างของเธอ

 

💔 วันที่ความรักพังทลาย: จับได้ว่าฝ่ายชายนอกใจ — แต่กลับถูกโกหกซ้ำ

พรีมเผยว่า จุดแตกหักจริง ๆ เริ่มต้นเมื่อเธอจับได้ว่าฝ่ายชายเริ่มมีพฤติกรรมผิดปกติ แอบแชทคุยกับผู้หญิงอีกคน ซึ่งต่อมาเธอทราบว่าเป็น “มือที่สาม” ที่เข้ามายุ่งเกี่ยวระหว่างที่เธอยังคบกับแฟนอยู่

เธอเล่าว่าในตอนแรกทั้งฝ่ายชายและผู้หญิงคนนั้นต่างยืนยันว่า

 “ไม่มีอะไรเกินเลย แค่เพื่อนกัน”

ด้วยความรักที่ยังมีมาก พรีมเลือกที่จะเชื่อ เลือกที่จะถอย เลือกที่จะยอม เพราะเธอหวังว่าความรักที่สร้างมานานจะไม่พังเพราะเรื่องแบบนี้ และหวังว่าฝ่ายชายจะซื่อสัตย์กับเธอในที่สุด

แต่ความจริงกลับไม่ใช่แบบนั้น…

เมื่อไม่นานหลังจากเลิกกัน เพียงไม่ถึงเดือน พรีมเห็นหลักฐานชัดเจนว่า ฝ่ายชายเริ่มเปิดตัวความสัมพันธ์ใหม่กับผู้หญิงคนเดิมที่เคยปฏิเสธว่า “ไม่มีอะไร”

นี่ทำให้เธอเจ็บปวดมากกว่าเดิม เพราะมันหมายความว่า

ระหว่างที่ยังคบกันอยู่…เขาไม่ได้ซื่อสัตย์

คำสัญญาที่ให้ไว้…ไม่เคยตั้งใจรักษา

ความหวังดีตลอด 4 ปี…อาจไม่มีความหมายอะไรกับเขาเลย

พรีมกล่าวด้วยความเสียใจว่า

“ที่เจ็บที่สุด ไม่ใช่การที่เขามีคนใหม่ แต่เป็นการที่เขาโกหกหนูซ้ำ ๆ และทำเหมือนหนูโง่”

🚫 หลังเลิกกัน: ถูกบล็อกทุกช่องทาง—ทำให้รู้สึก “ถูกทิ้งแบบไม่มีค่า”

หนึ่งในเหตุผลที่พรีมตัดสินใจออกมาร้องเรียน คือการที่ฝ่ายชายปฏิเสธการพูดคุยทุกช่องทางหลังเลิกกัน แม้ในเรื่องที่ควรตกลงกันอย่างผู้ใหญ่

เธอเล่าว่า

ติดต่อฝ่ายชายไม่ได้

ติดต่อผู้จัดการก็เพิกเฉย

ติดต่อคนสนิทก็ถูกบล็อก

ไม่มีทางไหนให้เธอพูดคุยหรือขอคำชี้แจงเลย

“หนูพยายามคุยดี ๆ แล้ว แต่เขาปิดหนีหมดทุกทาง หนูเลยรู้สึกว่าโดนทิ้งแบบไม่มีค่า ทั้งที่หนูดูแลเขามาตลอดสี่ปี”

การถูกบล็อกสำหรับคนที่เคยรักกันมา 4 ปี ไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ เพราะมันทำให้ผู้ถูกบล็อกรู้สึกเหมือนถูกลบตัวตนออกไปจากชีวิตเขาทั้งหมดแบบไม่เหลือความหมายใด ๆ

 

💸 ข้อเรียกร้องของพรีม: “ของที่ให้ด้วยความรัก ไม่ขอคืน แต่ขอแค่ความรับผิดชอบเรื่องค่าใช้จ่าย”

พรีมย้ำชัดเจนว่า

 “ของที่เคยให้เพราะความรัก ไม่ต้องการเอาคืนค่ะ”

สิ่งที่เธอเรียกร้องมีเพียง 2 ส่วนเท่านั้นคือ:

1) ค่าใช้จ่ายระหว่างที่อยู่ด้วยกัน

เช่น ค่าที่พัก อาหาร การเดินทาง ค่าใช้จ่ายประจำวัน ที่เธอเป็นฝ่ายออกแทบทั้งหมดตลอด 4 ปี

2) เงินที่ฝ่ายชายยืมเป็นครั้งคราว

เป็นเงินจำนวนหนึ่งที่ฝ่ายชายเคยรับปากเองว่าจะคืน แต่จนถึงตอนนี้ยังไม่ได้ชำระ

เธอยืนยันว่า การออกมาเรียกร้องครั้งนี้ไม่ใช่การทำลายชื่อเสียงนักแสดงชาย

แต่เป็นการ “ปกป้องสิทธิของตัวเอง ที่ถูกเพิกเฉยมานานเกินไป”

 

🩺 ความเจ็บปวดที่ไม่ใช่แค่เรื่องเงิน: ป่วยเป็นโรคแพนิกหลังถูกบอกเลิก

หลังจากฝ่ายชายบอกเลิกในช่วงเดือนตุลาคมที่ผ่านมา พรีมยอมรับว่าเธออยู่ในสภาพจิตใจที่ย่ำแย่ถึงขั้นต้องพบจิตแพทย์และรับยารักษาอาการ “แพนิก”

เธอกล่าวว่า

“มันเป็นจุดที่หนูรู้สึกเหมือนโลกพังไปหมด เพราะคิดว่าเขาจะอยู่กับหนู แต่กลับทิ้งหนูไปแบบไม่ใยดี”

เรื่องนี้ทำให้หลายคนที่ได้ฟังรู้สึกเห็นใจ และสะท้อนให้เห็นว่า ความเสียหายที่เกิดขึ้นไม่ใช่แค่เรื่องทรัพย์สิน แต่เป็นบาดแผลทางใจที่รุนแรงมาก

 

⚖ มุมมองของทนายรณณรงค์: “ในทางกฎหมายเรียกร้องได้จำกัด แต่ในทางมนุษยธรรมควรรับผิดชอบ”

ทนายรณณรงค์เปิดเผยว่า หลังจากตรวจสอบหลักฐานทั้งหมด เห็นได้ชัดว่าพรีมมีเจตนามาดี ไม่ได้ต้องการโจมตีฝ่ายชาย แต่ต้องการหาทางพูดคุยและหาข้อตกลงทางแพ่งเท่านั้น

ในทางกฎหมาย หากของที่ให้ไปในฐานะ “ความเสน่หา” หรือ “ความรักชอบพอ” มักจะไม่สามารถเรียกร้องคืนได้ เพราะเป็นการให้โดยสมัครใจ

อย่างไรก็ตาม ทนายระบุว่า

ในส่วน เงินที่ยืมโดยมีหลักฐานแชทเจตนายืมเงินจริง

และ ค่าใช้จ่ายบางส่วนที่เข้าข่ายเป็นหนี้ตามกฎหมาย

ผู้เสียหายสามารถฟ้องแพ่งได้ หากอีกฝ่ายไม่ชดใช้ตามที่รับปากไว้

นอกจากนี้ ทนายเผยอีกว่า จากหลักฐานแชทล่าสุด พบว่า

นักแสดงหนุ่มรายนี้เคยระบุว่า “จะรับผิดชอบและคืนเงินในส่วนที่พรีมเรียกร้อง”

จึงเป็นเหตุผลว่าหากตกลงกันได้โดยสันติ จะเป็นผลดีต่อทั้งสองฝ่ายมากที่สุด

ทนายกล่าวทิ้งท้ายว่า

 “อยากให้ฝ่ายชายออกมาแสดงความรับผิดชอบ เพื่อให้ต่างคนต่างใช้ชีวิตต่อไปโดยไม่ต้องมีปัญหา”

🧩 วิเคราะห์ประเด็นเชิงสังคม: ความสัมพันธ์ที่ไม่เท่าเทียม—ภาระทางอารมณ์ และภาระทางการเงินที่มองไม่เห็น

กรณีนี้สะท้อนให้เห็นปัญหาที่เกิดขึ้นบ่อยในสังคมแต่ไม่ค่อยถูกพูดถึง นั่นคือ

“ความรักที่ฝ่ายหนึ่งแบกรับทุกอย่างจนหมดแรง”

หลายคู่รักมีรูปแบบความสัมพันธ์แบบนี้ โดยที่ฝ่ายหนึ่งทุ่มเททั้งเวลา เงิน ความพยายาม และความหวังดี โดยฝ่ายรับอาจไม่รู้สึกเท่ากัน หรือไม่ได้ให้คุณค่ากับสิ่งที่ได้รับมากเท่าที่ควร

พอเกิดเหตุการณ์เลิกรา หรืออกหักจากการถูกนอกใจ ทำให้ความเสียหายไม่ใช่เพียงเรื่องเงิน แต่รวมถึง

ความรู้สึกถูกหักหลัง

ความรู้สึกว่าความรักตลอด 4 ปีไม่มีค่า

ความรู้สึกถูกทิ้ง

ภาวะสุขภาพจิตที่เสียหาย

กรณีของพรีมจึงเป็นตัวอย่างที่ทำให้คนจำนวนมากสะท้อนกลับมามองความสัมพันธ์ตัวเองว่า

เรากำลังให้เกินไปหรือไม่?

อีกฝ่ายเห็นคุณค่าของเราเพียงใด?

ความรักของเราสุขภาพดีจริงหรือเปล่า?

🔚 บทสรุป: พรีมไม่ได้ต้องการทำร้ายใคร—เพียงต้องการ “ความยุติธรรมในฐานะคนที่เคยรักใครสักคนด้วยใจจริง”

การออกมาพูดของพรีม ไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกดีขึ้นทันที แต่เป็นสิ่งสุดท้ายที่เธอคิดว่าสามารถทำได้ หลังจากพยายามหาทางพูดคุยกับฝ่ายชายหลายครั้งแต่ไม่สำเร็จ

สิ่งที่เธอร้องขอไม่ใช่การทำลายชื่อเสียงของนักแสดงชาย ไม่ใช่ความแค้น และไม่ใช่การเรียกร้องเกินเหตุ แต่เป็นความต้องการที่จะปกป้องตัวเอง

พรีมย้ำว่า

“อยากให้เขารับผิดชอบในสิ่งที่เคยพูดไว้เท่านั้นค่ะ”

นี่คือคำเรียกร้องง่าย ๆ ของผู้หญิงคนหนึ่งที่เคยรักใครด้วยใจจริง แต่กลับต้องเผชิญกับความเจ็บปวดมากมายจนต้องขอความช่วยเหลือจากกฎหมายและสังคม

เรื่องนี้จึงไม่ได้เป็นเพียงดราม่าชั่วคราวในโซเชียล แต่เป็น “เรื่องจริงของหัวใจคนหนึ่ง” ที่ควรได้รับพื้นที่ในการบอกเล่า และควรได้รับความยุติธรรมอย่างเหมาะสม